พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ท่านที่ ๔
( พระสังฆะบุรี หรือ ทองด้วง- พุทธศักราช ๒๓๗๑ - ๒๓๙๓)
“พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน”เดิมชื่อ (ท้าวด้วง) หรือพระสังฆะบุรีเป็นบุตร เจ้าเมืองสังขะ คือ พระยาสังฆะบุรี ( หรือ เซียงฆะ เป็นหัวหน้าเขมรป่าดงร่วมกับคณะนำจับพญาช้างเผือกส่งกลับกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2302 เมื่อตากะจะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้รับบรรดาศักดิ์เป็น " หลวงแก้วสุวรรณ" เชียงฆะได้รับโปรดเกล้าฯ บรรดาศักดิ์เป็น "หลวงเพชร" หัวหน้านายกองว่าราชการดูแลบ้านอัจจะปะนึง (สังฆะ) ภายหลังยกฐานะเป็นเมืองสังขะทรงโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงเพชรเป็น "พระยาสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ เจ้าเมืองสังขะ")
ภายหลังจากที่กองทัพกรุงเทพ ฯ ปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์เรียบร้อยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2371 เมืองขุขันธ์ในขณะนั้นตำแหน่งเจ้าเมืองได้ว่างลง จึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้มารับตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ และโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ราชทินนามประจำตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ว่า พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน นับเป็น เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 4 ภายหลังจากได้รับโปรดเกล้าฯ ให้มารับตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 แล้วได้ทูลขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ “พระไชย”(ท้าวใน) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ตำแหน่งปลัดเมืองขุขันธ์ ให้พระสะเทื้อน (นวน) เป็น พระแก้วมนตรี ตำแหน่งยกบัตรเมืองขุขันธ์ ให้ท้าวหล้า บุตรพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (หลวงปราบ) เป็นพระมหาดเล็ก ทั้งหมดที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทำหน้าที่ปกครองบริหารราชการเมืองขุขันธ์ต่อไป
ในปี พ.ศ. 2376 กองทัพญวนได้ยกทัพเข้ามาในเขตเมืองเขมร พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพจากส่วนกลาง ยกทัพไปทำศึกสงครามกับญวน การทำศึกสงครามในครั้งนี้ทรงมีบัญชารับสั่งให้เจ้าเมืองขุขันธ์ ส่งกำลังทหารไปช่วยรบจำนวน 1,500 คน โดยให้ทัพจากเมืองขุขันธ์ร่วมกับทัพจากส่วนกลางรวมพล ณ บริเวณวัดไทยเทพนิมิตร โดยมีหลวงเทพรักษา เป็นผู้บัญชาการในครั้งนี้
ในปี พ.ศ. 2379 ยังอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเมืองขุขันธ์ได้ยกฐานะเป็นเมืองทำราชการมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว มีประชากรในการปกครองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน และสะดวกต่อการปกครองบังคับบัญชามากขึ้น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ออกไปราชการที่เมืองขุขันธ์ จัดทำบัญชีลูกไพร่พลเขมรป่าดงทั้งหมด โดยเจ้าเมืองขุขันธ์ได้ให้ความร่วมมือทำบัญชีชายฉกรรจ์ในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังด้วยตนเองอีกด้วย นับว่าเป็นการทำสำมโนครัวประชากรเป็นครั้งแรกของเมืองขุขันธ์ ในฐานะที่เป็นเมือง หัวเมืองชั้นนอก และอยู่ห่างไกลเมืองราชธานี
ปี พ.ศ. 2386 ได้เกิดกรณีพิพาท ระหว่างไทยกับญวนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนี) นำทัพยกพลไปทำศึกกับญวน ในการทำสงครามกับญวนในครั้งนี้ ได้มีรับสั่งให้ กองทัพจากเมืองขุขันธ์ ส่งไพร่พลจำนวน 4,000 คน จากเมืองศรีสะเกษ จำนวน 3,300 คน เข้าร่วมกองทัพจากส่วนกลางร่วมรบทำศึกกับญวน
การแยกพื้นที่เมืองขุขันธ์บางส่วนตั้งเป็นเมืองเดชอุดม
ในปี พ.ศ. 2388 ตรงกับรัชกาลที่ 3 พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) เจ้าเมืองศรีสะเกษ ท่านที่ 2 ถึงแก่อนิจกรรมจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกษท่านที่ 3
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ที่หลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย และหลวงอภัย เห็นว่า เมืองขุขันธ์ ยังมีอาณาเขตที่กว้างขวางอยู่มาก อีกทั้งไม่ประสงค์ที่จะอยู่ภายในการปกครองของเมืองขุขันธ์ ได้ทูลขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอแยกพื้นที่เมืองขุขันธ์บางส่วนขอตั้งเป็น เมืองใหม่ โดยได้ขออพยพไพร่พลจำนวน 600 คน และที่เป็นครอบครัวอีกจำนวนหนึ่งไปตั้งบ้านลำโดมใหญ่เป็นเมืองเดชอุดม พระองค์ทรงอนุญาต และทรงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงธิเบศร์ เป็นพระศรีสุระ ตำแหน่งเจ้าเมืองเดชอุดม ทำราชการขึ้นต่อเมืองนครราชสีมา เช่นเดียวกับเมืองศรีสะเกษ
ในปี พ.ศ. 2388 นี้เช่นเดียวกัน พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 ได้ทูลขอให้โปรดเกล้าฯตั้ง บ้านไพรตระหนัก ขึ้นเป็นเมืองมโนไพร และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หลวงภักดีจำนงค์ (ท้าวพรหม) เสมียนตราจากเมืองขุขันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมโนไพร และยังได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ เป็นข้าหลวงไปทำการแบ่งปันเขตแดนระหว่างเมืองขุขันธ์กับเมืองจำปาสัก ให้เป็นเขตแดนเมืองมโนไพร (ปัจจุบันที่ตั้งเมืองมโนไพรอยูในอาณาเขตประเทศกัมพูชา )
ปี พ.ศ. 2393 พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 ได้ถึงแก่อนิจกรรม (สรุปแล้ว เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 อยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ 22 ปี) จึงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวใน) ขึ้นดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ ในราชทินนาม พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เป็นท่านที่ 5
ภายหลังจากที่กองทัพกรุงเทพ ฯ ปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์เรียบร้อยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2371 เมืองขุขันธ์ในขณะนั้นตำแหน่งเจ้าเมืองได้ว่างลง จึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้มารับตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ และโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ราชทินนามประจำตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ว่า พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน นับเป็น เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 4 ภายหลังจากได้รับโปรดเกล้าฯ ให้มารับตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 แล้วได้ทูลขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ “พระไชย”(ท้าวใน) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม ตำแหน่งปลัดเมืองขุขันธ์ ให้พระสะเทื้อน (นวน) เป็น พระแก้วมนตรี ตำแหน่งยกบัตรเมืองขุขันธ์ ให้ท้าวหล้า บุตรพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (หลวงปราบ) เป็นพระมหาดเล็ก ทั้งหมดที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทำหน้าที่ปกครองบริหารราชการเมืองขุขันธ์ต่อไป
ในปี พ.ศ. 2376 กองทัพญวนได้ยกทัพเข้ามาในเขตเมืองเขมร พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพจากส่วนกลาง ยกทัพไปทำศึกสงครามกับญวน การทำศึกสงครามในครั้งนี้ทรงมีบัญชารับสั่งให้เจ้าเมืองขุขันธ์ ส่งกำลังทหารไปช่วยรบจำนวน 1,500 คน โดยให้ทัพจากเมืองขุขันธ์ร่วมกับทัพจากส่วนกลางรวมพล ณ บริเวณวัดไทยเทพนิมิตร โดยมีหลวงเทพรักษา เป็นผู้บัญชาการในครั้งนี้
ในปี พ.ศ. 2379 ยังอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเมืองขุขันธ์ได้ยกฐานะเป็นเมืองทำราชการมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว มีประชากรในการปกครองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน และสะดวกต่อการปกครองบังคับบัญชามากขึ้น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ออกไปราชการที่เมืองขุขันธ์ จัดทำบัญชีลูกไพร่พลเขมรป่าดงทั้งหมด โดยเจ้าเมืองขุขันธ์ได้ให้ความร่วมมือทำบัญชีชายฉกรรจ์ในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังด้วยตนเองอีกด้วย นับว่าเป็นการทำสำมโนครัวประชากรเป็นครั้งแรกของเมืองขุขันธ์ ในฐานะที่เป็นเมือง หัวเมืองชั้นนอก และอยู่ห่างไกลเมืองราชธานี
ปี พ.ศ. 2386 ได้เกิดกรณีพิพาท ระหว่างไทยกับญวนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนี) นำทัพยกพลไปทำศึกกับญวน ในการทำสงครามกับญวนในครั้งนี้ ได้มีรับสั่งให้ กองทัพจากเมืองขุขันธ์ ส่งไพร่พลจำนวน 4,000 คน จากเมืองศรีสะเกษ จำนวน 3,300 คน เข้าร่วมกองทัพจากส่วนกลางร่วมรบทำศึกกับญวน
การแยกพื้นที่เมืองขุขันธ์บางส่วนตั้งเป็นเมืองเดชอุดม
ในปี พ.ศ. 2388 ตรงกับรัชกาลที่ 3 พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) เจ้าเมืองศรีสะเกษ ท่านที่ 2 ถึงแก่อนิจกรรมจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกษท่านที่ 3
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ที่หลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย และหลวงอภัย เห็นว่า เมืองขุขันธ์ ยังมีอาณาเขตที่กว้างขวางอยู่มาก อีกทั้งไม่ประสงค์ที่จะอยู่ภายในการปกครองของเมืองขุขันธ์ ได้ทูลขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอแยกพื้นที่เมืองขุขันธ์บางส่วนขอตั้งเป็น เมืองใหม่ โดยได้ขออพยพไพร่พลจำนวน 600 คน และที่เป็นครอบครัวอีกจำนวนหนึ่งไปตั้งบ้านลำโดมใหญ่เป็นเมืองเดชอุดม พระองค์ทรงอนุญาต และทรงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงธิเบศร์ เป็นพระศรีสุระ ตำแหน่งเจ้าเมืองเดชอุดม ทำราชการขึ้นต่อเมืองนครราชสีมา เช่นเดียวกับเมืองศรีสะเกษ
ในปี พ.ศ. 2388 นี้เช่นเดียวกัน พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 ได้ทูลขอให้โปรดเกล้าฯตั้ง บ้านไพรตระหนัก ขึ้นเป็นเมืองมโนไพร และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หลวงภักดีจำนงค์ (ท้าวพรหม) เสมียนตราจากเมืองขุขันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมโนไพร และยังได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ เป็นข้าหลวงไปทำการแบ่งปันเขตแดนระหว่างเมืองขุขันธ์กับเมืองจำปาสัก ให้เป็นเขตแดนเมืองมโนไพร (ปัจจุบันที่ตั้งเมืองมโนไพรอยูในอาณาเขตประเทศกัมพูชา )
ปี พ.ศ. 2393 พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 ได้ถึงแก่อนิจกรรม (สรุปแล้ว เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 4 อยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ 22 ปี) จึงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวใน) ขึ้นดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ ในราชทินนาม พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เป็นท่านที่ 5