รัฐสมัยใหม่ (Modern States) จึงถือกําเนิดขึ้นจากเงื่อนไขสําคัญ 2 ประการ ซึ่งช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างแยกขาดออกจากกันไม่ได้ คือ ประการแรก เมื่อมองจากภายในรัฐสมัยใหม่ต้องอาศัยพื้นฐานการรวมศูนยอํานาจปกครองของรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ และประการที่สอง เมื่อมองจากภายนอก หรือมองในแง่ความสัมพันธ์ระหวางรัฐในสังคมโลก รัฐสมัยใหม่ตองอาศัยระบบระหว่างรัฐ (The interstate system) เป็นพื้นฐานรับรองการดํารงอยู่ของรัฐ ซึ่งเดวิด เฮลด์(David Held) เสนอวา รัฐสมัยใหม่ทั้งปวงคือรัฐชาติ และนิยามชัดเจนว่า รัฐสมัยใหม่เป็นกลไกทางการเมืองที่แยกหลุดออกจากทั้งผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครอง กลไกทางการเมืองดังกลาวนี้มีอํานาจสูงสุดโดยนิตินัยเหนือประชาชนในอาณาบริเวณที่มีขอบเขตชัดเจน กลไกนี้อ้างว่าตนผูกขาดอํานาจบังคับและตนได้รับความสนับสนุนหรือความภักดีจากพลเมืองด้วย(2) โดยรัฐสมัยใหม่จะต้องมีแบบแผนอุดมคติ (Ideal Type) หรือคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการคือ 1.ต้องมีประชากรจํานวนหนึ่ง 2.มีดินแดน อาณาเขต เป็นหลักแหล่งแน่นอน 3.มีรัฐบาล หรือองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ 4.มีอํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจสูงสุดของตนอย่างอิสระไม่ขึ้นต่อผู้อื่น(3)
ความสํานึกในคําว่า “รัฐ” (State) ตามจารีตทางภูมิปัญญาของสังคมตะวันตก เริ่มแพร่เข้าสู่ประเทศสยามในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นายโจเซฟ บัลเลสเตียร์ (Joseph Ballestier) ทูตชาวอเมริกันเข้ามายังพระนครเมื่อปี พ.ศ. 2393 โดยจดหมายเหตุทางฝ่ายไทยจดไว้ว่าเขาผู้นี้เป็น “ราชทูตรับใช้แต่เจ้าแผ่นดิน อเมริกันทั้ง 30 เมืองที่เข้ากันเปน เมืองเดียว จะได้ถือราชสาส์นมาถึงเมืองต่างๆ ที่อยู่ส่วนพิภพอาเซียตะวันออกเฉียงใต้มีมหานครศรีอยุธยาเปนต้น”(4) คําว่า “STATES” ในชื่อประเทศสหรัฐฯ ได้รับการถ่ายทอด หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “เมือง” ซึ่งในขณะนั้นสยามยังไม่เกิดความคิดที่จะถ่าย คําว่า “STATE” ด้วย
คำว่า “รัฐ” จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คำว่า “STATE” จึงเริ่มเขามามีบทบาทอย่างเป็นทางการในชีวิตทางการเมืองของสยามเป็นครั้งแรก ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการตรา “พระราชบัญญัติเคานซิลออฟสเตต” ขึ้นในปี พ.ศ. 2417 แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวก็บอกคําแปลไว้ดวยในตัวเองที่เรียกว่า “สเตต“ นั้น หมายถึง “แผนดิน” นั่นเอง(5) แต่ก็ตองรอเวลาอีก 20 ปีที่คำว่า “รัฐ” จึงจะเข้ามาเป็นคําแปลของคําว่า “STATE” กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรา “พระราชบัญญัติรัฐมนตรี” ออกมา ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติเคานซิลออฟสเตตให้สมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง(6) และจากจุดนี้เป็นต้นมา คำว่า รัฐ” ที่เราพูดถึงกันเสมอในปัจจุบันจึงเป็นรัฐที่มีพื้นฐานมาจากมรดกทางการเมืองของสังคมตะวันตก(7)
ในขณะที่ความคิดเรื่อง “รัฐ” กําลังเริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมสยามนั้น แนวคิดเรื่องเส้นเขตแดนก็ถือเป็นสํานึกของรัฐแบบสมัยใหม่อีกอย่างหนึ่ง ที่เริ่มปรากฏขึ้นในความคิดของชนชั้นนําด้วยเช่นกัน โดยพบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีความคิดและพยายามที่จะแสดงตัวตน และรูปร่างของสยามในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงด้วยการว่าจ้างชาวอังกฤษให้เข้ามาสํารวจและทําแผนที่ ไปพร้อมๆ กับที่ฝรั่งเศสกําลังสํารวจตามลําแม่น้ำโขงในขณะนั้นด้วย(8) ใน
ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงพยายามค้นหาพระราชอาณาเขตสยามในเชิงดินแดนตามระบบภูมิศาสตร์แบบตะวันตก ด้วยการระบุที่ตั้งอันแน่นอน ซึ่งเป็นลักษณะความคิดที่ไม่เคยปรากฏขึ้นในรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน นั่นคือความคิดในเรื่องการกําหนดเส้นแบ่งแดนที่มีความชัดเจนในระดับองศาลิบดาบนพื้นดินทะลุขึ้นไปเหนือห้วงอวกาศ(9)
“พระนครศรีอยุธยาตั้งอยู่ละติจุด 14 องศา 19 ลิปดาเหนือ และลองจิจูด 100 องศา 37 ลิปดา ทางตะวันออกของเมืองกรีนิช ยังมีนครอื่นๆ อีกไม่ไกลนักที่ชาวกัมพูชาได้ครอบครองด้วยเช่นกัน แต่สถานที่ตั้งแน่นอนหรือ ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของ
นครเหล่านี้ยังไม่ทราบได้”(10)
ความพยายามของชนชั้นนํา ที่จะแสดงตําแหน่งที่ตั้งของสยามบนโลกแห่งความเป็นจริงตามแนวความคิดเรื่องเขตแดนของการเมืองแบบตะวันตก ที่นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการเผชิญหน้ากับลัทธิอาณานิคมแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของสยามอันเป็นผลจากการติดต่อแลกเปลี่ยนวิทยาการกับชาติตะวันตกที่มีมากขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย แม้ในช่วงก่อนหน้านี้ ชนชั้นนําสยามจะมีความพยายามที่จะแสดงตัวตนของตนผ่านการทําแผนที่ แต่ความพยายามดังกล่าวกลับไม่เป็นผล จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2436 เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 อันเป็นช่วงที่สยามสูญเสียประเทศราชของตนให้แก่ฝรั่งเศสและในขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่ภูมิกายา หรือตัวตนทางกายภาพของสยามอุบัติขึ้น แม้ในช่วงเวลาดังกล่าว สยามเองก็กําลังอยู่ในกระบวนการทําให้ทันสมัย แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า สยามหลังปี พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) มิได้เหมือนกับสยามก่อนหน้านั้นอีกต่อไป แม้กระทั่งในความคิดของผู้ปกครองสยามเอง พวกเขาดําเนินภารกิจของตนต่อ แต่เป็นไปในสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม(11) ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ชนชั้นนําสยามต้องเสียดินแดนที่เคยเชื่อว่าเป็นมรดกของตนที่สืบมาจากรัฐจารีตไปด้วย
กรณีพิพาทระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในปี ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เกิดขึ้นจากการที่ฝรั่งเศสอ้างว่า ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นของญวนและเขมรมาก่อน เมื่อญวนและเขมรตกไป เป็นของฝรั่งเศสแล้ว ดินแดนดังกล่าวก็จะต้องตกเป็นของญวนและเขมรด้วย ฝ่ายไทยไม่ยอม เพราะถือว่าดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ไทยปกครองมาช้านาหลายแผ่นดินแล้ว ทางฝรั่งเศสก็จะเอาให้ได้ จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น โดยฝรั่งเศสได้ส่งกําลังทหารทั้งฝรั่งเศสปนแขกมอรอคโค และทหารญวน ทหารเขมรบุกรุกขึ้นมาตามลําแม่น้ำโขง และรบกันหนักที่แก่งหลี่ผี กรณีพิพาทดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงนี้ ยุติลงตามสัญญาสงบศึกไทยกับฝรั่งเศสฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม ร.ศ.112 คือไทยยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ทําให้หัวเมืองขึ้นจําปาศักดิ์ทั้งหมดที่อยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตะวันออกก็ตกไปอยู่ในการบํารุงของฝรั่งเศส คงเหลือแต่ตัวเมืองนครจําปาศักดิ์และเมืองขึ้นนครจําปาศักดิ์ที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงเท่านั้น(12)
การเผชิญหน้ากันระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์ ร.ศ. 112 จบลงด้วยการทําสนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2436) และต่อมาสยามก็ได้ทําสนธิสัญญากับฝรั่งเศสอีกหลายครั้งในครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ.2450) ทําให้สยามต้องยอมสละอํานาจเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ําโขงทั้งหมด รวมทั้งหลวงพระบางและจําปาศักดิ์(13) ซึ่งการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมดังกล่าวได้นําไปสู่แนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อลักษณะการปกครองว่า “...เมื่อมีอยู่ก็ต้องปกครองรักษาให้ได้สิทธิขาดจริงๆ ถ้าปกครองไม่ได้สิทธิขาดแล้ว ไม่มีเสียดีกว่า”(14) ซึ่งพระราชดำริดังกล่าวของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อสภาพของรัฐสยามที่เกิดขึ้น ได้ก่อให้เกิดความมุ่งหวังที่จะรวบอํานาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพื่อความเบ็ดเสร็จ และเด็ดขาดทางอํานาจของสยามในการปกครอง โดยมีจุดมุ่งหมายในการควบคุมดินแดนหัวเมืองต่างๆ ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสยามโดยตรง พร้อมๆ กับการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการกําหนดเขตแดนประเทศลาวและสยามตามสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2436) และ 1904 (พ.ศ. 2447) นับแต่นั้นมา ชะตากรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ตกอยู่กับประเทศสยามโดยสิ้นเชิง หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ การแสวงหาอัตลักษณ์ร่วมของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องพิจารณาอยู่ในบริบทของรัฐไทยเท่านั้น(15)
กรณีพิพาทระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในปี ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เกิดขึ้นจากการที่ฝรั่งเศสอ้างว่า ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นของญวนและเขมรมาก่อน เมื่อญวนและเขมรตกไป เป็นของฝรั่งเศสแล้ว ดินแดนดังกล่าวก็จะต้องตกเป็นของญวนและเขมรด้วย ฝ่ายไทยไม่ยอม เพราะถือว่าดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ไทยปกครองมาช้านาหลายแผ่นดินแล้ว ทางฝรั่งเศสก็จะเอาให้ได้ จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น โดยฝรั่งเศสได้ส่งกําลังทหารทั้งฝรั่งเศสปนแขกมอรอคโค และทหารญวน ทหารเขมรบุกรุกขึ้นมาตามลําแม่น้ำโขง และรบกันหนักที่แก่งหลี่ผี กรณีพิพาทดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงนี้ ยุติลงตามสัญญาสงบศึกไทยกับฝรั่งเศสฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม ร.ศ.112 คือไทยยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ทําให้หัวเมืองขึ้นจําปาศักดิ์ทั้งหมดที่อยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตะวันออกก็ตกไปอยู่ในการบํารุงของฝรั่งเศส คงเหลือแต่ตัวเมืองนครจําปาศักดิ์และเมืองขึ้นนครจําปาศักดิ์ที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงเท่านั้น(12)
การเผชิญหน้ากันระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์ ร.ศ. 112 จบลงด้วยการทําสนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2436) และต่อมาสยามก็ได้ทําสนธิสัญญากับฝรั่งเศสอีกหลายครั้งในครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ.2450) ทําให้สยามต้องยอมสละอํานาจเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ําโขงทั้งหมด รวมทั้งหลวงพระบางและจําปาศักดิ์(13) ซึ่งการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมดังกล่าวได้นําไปสู่แนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อลักษณะการปกครองว่า “...เมื่อมีอยู่ก็ต้องปกครองรักษาให้ได้สิทธิขาดจริงๆ ถ้าปกครองไม่ได้สิทธิขาดแล้ว ไม่มีเสียดีกว่า”(14) ซึ่งพระราชดำริดังกล่าวของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อสภาพของรัฐสยามที่เกิดขึ้น ได้ก่อให้เกิดความมุ่งหวังที่จะรวบอํานาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพื่อความเบ็ดเสร็จ และเด็ดขาดทางอํานาจของสยามในการปกครอง โดยมีจุดมุ่งหมายในการควบคุมดินแดนหัวเมืองต่างๆ ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสยามโดยตรง พร้อมๆ กับการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการกําหนดเขตแดนประเทศลาวและสยามตามสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2436) และ 1904 (พ.ศ. 2447) นับแต่นั้นมา ชะตากรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ตกอยู่กับประเทศสยามโดยสิ้นเชิง หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ การแสวงหาอัตลักษณ์ร่วมของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องพิจารณาอยู่ในบริบทของรัฐไทยเท่านั้น(15)
FOOTNOTE :
(1) ฉลอง สุนทราวาณิชย์, “รัชกาลที่ 5 กับลัทธิอาณานิคมและสยาม,” ใน รัชกาลที่ 5 : สยามกับอุษาคเนย์และชมพูทวีป:เอกสารสรุปการสัมมนาวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ 150 ปี (พ.ศ. 2369-2546), ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อรอนงค์ ทิพย์พิมล,บรรณาธิการ.(กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2547), หน์า 271.
(2) David Held, “The Development of the Modern State” in Formations of Modernity, eds. Hall Stuart and Gieben Bram (Cambridge: Polity, 1992), p. 87. อางถึงใน สมเกียรติ วันทะนะ, “กําเนิดรัฐสมัยใหม,” วารสารสังคมศาสตรและ มนุษยศาสตร34,1 (มกราคม-มิถุนายน 2551): 167.
(3) สมบัติ จันทรวงศ์, “ศาสนากับการเมือง : ข้อสังเกตเบื้องต้นว่าด้วยอุดมการณ์และวิเทโศบายของพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกฯ” ,รัฐศาสตร์สาร 14,3-15,1 (กันยายน 2531-เมษายน 2532): 22; สมเกียรติ วันทะนะ, “เมืองไทยยุคใหม่: สัมพันธภาพระหว่างรัฐกับประวัติศาสตร์สํานึก” ใน อยู่เมืองไทย, สมบัติ จันทรวงศ์ และชัยวัฒน์ สถาอานันท์,บรรณาธิการ. (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530), หน้า 72-73.
(4) จดหมายเหตุเรื่องทูตอเมริกันเข้ามาในรัชกาลที่ 3 เมื่อปีจอ พ.ศ. 2393 (พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2466),หน้า 19. อ้างถึงใน สมเกียรติ วันทะนะ, “รัฐไทย : นามธรรมและรูปธรรม ” รัฐศาสตร์สาร 14,3 (กันยายน 2531-เมษายน 2532): หน้า 193.
(5) ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูต, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477 (กรุงเทพฯ: โครงการตํารา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2518), หน้า 20-27. อ้างถึงใน สมเกียรติ วันทะนะ, เรื่องเดียวกัน, หน้า 193.
(6) เสถียร ลายลักษณ์, ประชุมกฎหมายประจําศก เล่ม 14 กฎหมาย ร.ศ. 112-113 (พระนคร, 2478), หน้า 213-220. อ้างถึง
ใน สมเกียรติ วันทะนะ, เรื่องเดียวกัน, หน้า 193-194.
(7) เรื่องเดียวกัน, หน้า 194.
(8) เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, พระราชพงศาวดารรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4,พิมพ์ครั้งที่ 6(กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง
แอนด์พับลิชชิ่ง จํากัด, 2548), หน้า 231.
(9) ทวีศักดิ์ เผือกสม, อินโดนีเซีย รายา: รัฐจารีต สู่ “ชาติ” ในจินตนาการ (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2547), หน้า 17.
(10) “พงศาวดารสยามอย่างย่อ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ,แปลโดย วินัย พงศ์ศรีเพียร ใน ความยอกย้อนของอดีต พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติ พลตรีหม่อมราชวงศ์ ศุภวัฒย์ เกษมศรี(กรุงเทพฯ: ม.ป.ท., 2537), หน้า 74. อ้างถึง
ใน โดม ไกรปกรณ์, “ตําราพระราชพิธีสมัยรัชกาลที่ 4-5 (พ.ศ. 2394-2453),” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2542), หน้า 117.
(11) Thongchai Winichakul, Siam Mapped : A History of the Geo-body of A Nation(Honolulu: University of Hawaii
Press, 1994), p. 142.
(12) เติม วิภาคพจนกิจ,ประวัติศาสตร์อีสาน,พิมพ์ครั้งที่ 4(กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,
2546), หน้า 74.
(13) “พงศาวดารเมืองเวียงจันท์” , ปริวรรตโดย จารุวรรณ ธรรมวัตร ใน แลลอดพงศาวดารลาว(มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ม.ป.ป.), หน้า 25.
(14) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “พระราชดํารัสทรงในที่ประชุมเสนาบดีเรื่องทําหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี
กับอังกฤษ ร.ศ. 128” , ศิลปากร 3 (กันยายน 2519): 69. อ้างถึงใน เตือนใจ ไชยศิลป์, “ล้านนาในการรับรู้ของชนชั้นปกครอง
สยาม พ.ศ. 2435-2475,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2536), หน้า 102.
(15) ชาร์ลส์ เอฟ คายส์, แนวคิดท้องถิ่นภาคอีสานนิยมในประเทศไทย, แปลโดย รัตนา โตสกุล (กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยสังคม
อนุภาคลุ่มน้ำโขง, 2546), หน้า 53.
(12) เติม วิภาคพจนกิจ,ประวัติศาสตร์อีสาน,พิมพ์ครั้งที่ 4(กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,
2546), หน้า 74.
(13) “พงศาวดารเมืองเวียงจันท์” , ปริวรรตโดย จารุวรรณ ธรรมวัตร ใน แลลอดพงศาวดารลาว(มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ม.ป.ป.), หน้า 25.
(14) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “พระราชดํารัสทรงในที่ประชุมเสนาบดีเรื่องทําหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี
กับอังกฤษ ร.ศ. 128” , ศิลปากร 3 (กันยายน 2519): 69. อ้างถึงใน เตือนใจ ไชยศิลป์, “ล้านนาในการรับรู้ของชนชั้นปกครอง
สยาม พ.ศ. 2435-2475,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2536), หน้า 102.
(15) ชาร์ลส์ เอฟ คายส์, แนวคิดท้องถิ่นภาคอีสานนิยมในประเทศไทย, แปลโดย รัตนา โตสกุล (กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยสังคม
อนุภาคลุ่มน้ำโขง, 2546), หน้า 53.