-->
ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ความเป็นมาของบรรพบุรุษเมืองขุขันธ์ 4 ชนเผ่า

           “ เมืองขุขันธ์ ” ในอดีตเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นทางผ่านของเส้นทางการสร้างปราสาทมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรฟูนัน (Funan) อาณาจักรเจนละ (Zhenla)และ อาณาจักรขอม (Khom) ในสมัยเมืองพระนครคือ นครวัด- นครธม เป็นเส้นทางมิตรภาพโบราณระหว่างสยามกับกัมพูชาที่เดินทางไปมาหาสู่กันจากดินแดนแห่งทะเลสาบ มายังภาคอีสานของประเทศไทยตลอดมา

            เมืองขุขันธ์ ในอดีต หรือพื้นที่ซึ่งเป็นอาณาเขตส่วนใหญ่ของจังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน มีบรรพบุรุษของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ร่วมกันก่อตั้งเป็นเมืองขุขันธ์ มีประวัติความเป็นมา และขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน ประกอบด้วย 4 ชนเผ่า ดังนี้


ชนเผ่ากูย หรือ กวย
            ชาวกูย  ชาว'''กูย''' หรือ '''กวย'''  เป็นชนเผ่าที่ชอบความเป็นอิสระ และมีพัฒนาการของชนเผ่าอยู่เสมอ ชาว'''กูย''' หรือ '''กวย'''ในจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนหนึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่อยู่กันมาแต่ดั้งเดิมในแถบนี้ และอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่า อพยพมาจากเมืองลาวและกัมพูชา ได้มาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแถบนี้หลายแห่งกระจัดกระจายกันไป แต่ที่จังหวัดศรีสะเกษ  ส่วนหนึ่งเข้าใจว่ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านเจียงอี (ภาษากูย "เจียง" แปลว่า ช้าง "อี" หรือ "เอ็ย" แปลว่าป่วย เจียงอี แปลว่า ช้างป่วย) 

           ชาวกูย หรือ กวย จะมีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งอยู่ 3 อย่าง  พวกที่เชี่ยวชาญการจับจ้าง เรียก "กูยดำเร็ย" หรือ "กวยดำเร็ย" (ดำเร็ยภาษาเขมรแปลว่าช้าง)เช่น ชนเผ่ากูยในตำบลปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์(ในอดีต)  พวกที่เชี่ยวชาญในการถลุงเหล็กและตีเหล็ก เรียก ''กูยแดก''' หรือ ''กวยแดก" (แดก ภาษาเขมรแปลว่าเหล็ก) เช่น ชนเผ่ากูย หรือ กวยที่ตำบลตะเคียน อำเภอขุขันธ์ และตำบลตะดอบ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ  และชนเผ่า''กูย'' หรือ ''กวย''ที่มีความชำนาญในการปั้นหม้อ เรียก ''กูยฉนัง'' หรือ ''กวยฉนัง" (ฉนัง  ภาษาเขมรแปลว่า หม้อ) เช่นชนเผ่า''กูย'' หรือ ''กวย''บ้านกระโพธิ์ช่างหม้อ ตำบลตะเคียน  อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้น

ชนเผ่ากูย หรือกวย จะเรียกตนเองว่า กูย หรือ กวย แปลว่า “คน หรือ มนุษย์” อาศัยอยู่กันหลายอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ  ประเพณีของเผ่ากูย หรือกวย ส่วนมากจะปรับตัวให้เข้าไปกับท้องถิ่นที่อยู่อาศัย แต่จะยังคงมีอยู่บ้าง เช่น การเซ่นบรรพบุรุษ  พิธีไหว้ศาลปะกำ หรือการเซ่นไหว้ผีปะกำ  การตั้งศาลผีบรรพบุรุษไว้ที่หิ้งหรือศาลฯลฯ

ชนเผ่าเยอ จริงๆแล้วก็คือ ชนเผ่ากูย หรือ กวย อีกกลุ่มหนึ่ง ที่มักจะได้ยินชนเผ่านี้พูดสร้อยต่อท้ายด้วยคำว่า “เยอ” เช่น จ็อว-เยอ (มาเด้อ)  หรือ “เยอๆ” หรือ “จ็อว-เยอ-นุ-เนียว-แซมซาย-หมู่ไฮ”(เชิญครับพ่อแม่พี่น้องพวกเรา)    ซึ่งก็คล้ายๆ ชาวไทยแถบจังหวัดระยอง และจันทบุรี ที่นิยมพูดสร้อยต่อท้ายว่า “ฮิ”  จึงทำให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์บางท่านได้นิยามคำว่า “เผ่าเยอ” ขึ้นมาเป็นอีกเผ่าหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ  จึงทำให้เกิดการเขียนประวัติศาสตร์เล่าขึ้นมาว่า พญากตะศิลา เป็นหัวหน้านำคนเผ่าเยอ อพยพคนมาจากเมืองอัตปือ แสนปาง มาตั้งอยู่ที่เมืองคง (อ.ราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษมี  ในปัจจุบัน) ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่มีความอุดมสมบูรณ์ ต่อมามีการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ตามที่ต่างๆ  ดังนั้น ถ้าเรายึดตามสำเนียงพูดที่ใกล้เคียงกันกับ"กูยเยอ" หรือ "กวยเยอ" ในอำเภอขุขันธ์ พบมีชาวเยอ อาศัยอยู่ในบางพื้นที่น้อยบ้างมากบ้าง เช่นที่ตำบลจะกง ตำบลกฤษณา  ตำบลหนองฉลอง ที่ หมู่ที่ 5 บ้านตรอย   ตำบลตาอุดที่บ้านโก และบ้านเดื่อ  และตำบลลมศักดิ์  อำเภอขุขันธ์ ในปัจจุบัน

ชนเผ่าลาว
ชนเผ่าลาวในจังหวัดศรีสะเกษ เชื่อว่าอพยพมาจากประเทศลาวในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2237 เกิดกบฏ ในนครเวียงจันทร์ ทำให้ชนเผ่าลาวแย่งอำนาจกันเอง  ฝ่ายหนึ่งต้องลี้ภัยลงมาทางใต้ที่นครจำปาศักดิ์แล้วตั้งต้นปกครองตนเองครอบคลุมพื้นที่ลงมาถึงลุ่มน้ำมูล และในปี พ.ศ. 2321 พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพมาสมทบกับตากะจะ เจ้าเมืองขุขันธ์ ไปตีเมืองเวียงจันทร์ได้กวาดต้อนชนเผ่าลาวมาด้วย
ชนเผ่าลาวมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของจังหวัดศรีสะเกษ  ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของจังหวัดตั้งแต่อำเภอวังหิน ขึ้นไป  สำหรับอำเภอขุขันธ์  พบอาศัยอยู่มากในพื้นที่ของตำบลโสน ตำบลห้วยเหนือ  และตำบลตาอุด  มีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายกันกับประเพณีชนเผ่าลาวของชาวอีสานทั่วไป

ชนเผ่าขอม
ตามประวัติ เชื่อว่าดินแดนที่ตั้งของจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบันเป็นที่อยู่ของขอมมาก่อน หรือนักวิชาการรุ่นหลังที่ยังขาดความเข้าใจ เรียกว่าเขมรถิ่นไทย หรือคนไทยเชื้อสายเขมรบ้าง  ถ้าหากจะเรียกให้ถูกต้อง ให้เรียกว่า ชนเผ่าขอม
            เมื่อ พ.ศ. 236 พระเจ้าอโศกมหาราช  ผู้ทรงปกครองประเทศอินเดียในสมัยนั้นได้จัดคณะพระธรรมทูตออกเป็น 9 คณะ  โดยคณะที่ 8 มี พระโสณะและพระอุตตระ เป็นหัวหน้าคณะมาเผยแผ่พุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้มาถึงอาณาจักรขอมโบราณ ซึ่งเรียกว่า อาณาจักรฟูนัน  มีอำนาจอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน  
            ชนเผ่าขอม พบอาศัยอยู่ในจังหวัดแถบอีสานใต้จำนวนมากอยู่ในเขตตอนใต้ของจังหวัดศรีสะเกษอีกด้วย พบอาศัยปะปนกับชนเผ่าเขมรที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อปี พ.ศ. 2324 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) ซึ่งทางกัมพูชาเกิดความขัดแย้งจนเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นภายใน  พระเจ้าอยู่หัวแห่งรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ  ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปปราบ  การยกทัพไปปราบจลาจลที่กัมพูชาในครั้งนี้ได้มีบัญชาให้ทัพจากเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะร่วมยกทัพไปปราบด้วยในขณะที่กำลังทำการปราบปรามระงับศึกการจลาจลอยู่นั้น ได้รับแจ้งข่าวว่า ที่กรุงธนบุรี กำลังเกิดการจลาจลสร้างความไม่สงบขึ้นเช่นเดียวกัน ส่งผลให้การปราบจลาจลในกัมพูชา ยังไม่สำเร็จแต่ก็ต้องเสด็จยกทัพกลับ   ส่วนกองทัพจากเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะที่ได้ยกทัพไปช่วยปราบจลาจลในครั้งนี้  เมื่อยกทัพกลับ ได้กวาดต้อนเอาชาวเขมรจากกัมพูชา (ขะแมร์) มาอยู่ที่เมืองของตนเองด้วยหลายครอบครัว อาศัยอยู่ในหลายอำเภอ แทบทุกตำบล    
        ชนเผ่าขอมขุขันธ์ มีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง เช่นประเพณีแซนโฎนตา เป็นประเพณีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของชนเผ่าขอมขุขันธ์มาแต่โบราณ  ซึ่งต่อมาได้วิวัฒน์มาเป็นงานบุญประเพณีที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปีของของอำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ ในที่สุด


เรียบเรียงเนื้อหาโดย  ดร.ปริง  เพชรล้วน ล่ามภาษาเขมรกิติมศักดิ์ประจำจังหวัดศรีสะเกษ และนายสุเพียร  คำวงศ์  รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ( 24 มีนาคม 2554 )


วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566

เก็บตกเกร็ดประวัติศาสตร์เมืองขุขันธ์ฉบับย่อ จากภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง ณ ภายในอุโบสถพระแก้วเนรมิต วัดบ้านลำภู ตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ภาพที่ ๑
          พ.ศ. ๑๕๘๐/ ค.ศ. ๑๐๓๗  พระเจ้าชคต ศรีขัณฑเรศวร เมืองสด๊กโคกขัณฑ์ หมู่บ้านลำดวนตระพังสวายพระเจ้าอยู่หัว อัญ ศรีราชปติวรมัม ,    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กันต๊วนอัญศรีสูริยวรมัมเทพ , พระเจ้าชคตศรีพฤทเธศวร  ,    พระเจ้าชคตศรีสิขเรศวร      และศรีสุกรมก็อมแสดงชี       มาเข้าร่วมพิธีบวงสรวงเฉลิมฉลองการก่อสร้างปราสาทพระวิหาร เมื่อมหาศักราช ๙๕๙ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนมาฆมาส   ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม  พ.ศ. ๑๕๘๐/ ค.ศ. ๑๐๓๗

          Komrotang Chekud Srikhandhiresua a country of Sadok Kokhan, the village of Ramdual Tropeang Sawai, Preah Komrotang Ansri Reachpativoramum, Preach Bath Komrotang Kuntan An Sri Suraya Voramumtep, Komrotang Chekud Srisikaresua, Komrotang Chekud Sripruthesua, Srisukrom Komsatangshi held a ceremony of Preah Vihear castle construction on 3rd waxing moon,3rd month of 959 Shalivahana era, corresponding to January14,1580 BE.,1037 AD.

ภาพที่ ๒
          พ.ศ. ๑๖๕๖ / ค.ศ. ๑๑๑๓ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ หรือ พระเจ้าอยู่หัว อัญ บรมพิษณุโลก  ให้ช่างจารึกบน
ฝาผนังปราสาทนครวัดว่า  “ ข้าราชการฝ่ายพรานขมังธนู  พลเดินเท้าประจัญบาน ฝีตีนเร็วนำหน้า นี่  สยำกุก”
ซึ่งคำว่า    สยำกุก  คือเสียมโคก   หรือ เสียมโคกขัณฑ์    หรือ ชาวโคกขัณฑ์   หรือ ชาวขุขันธ์    สมัยนั้นนั่นเอง
       1656 BE./1113 AD.   The  King  Suyavaman 2   or   Komrotang  An  Borompitsanulok   ordered
the craftsmen to inscribe the story on the wall of Angkor Wat. The government employees, fast-moving hunters were Siamkuk. Those were Siamkuk. They were Siam Khukhan or Khukhan people  at that time.

ภาพที่ ๓
          พ.ศ. ๒๑๓๔ / ค.ศ. ๑๕๙๑ ตรงกับสมัยที่พระภิกษุประทา เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดบ้านลำภู เมืองโคกขัน คือชื่อเรียก เมืองขุขันธ์ในสมัยนั้น ได้ส่งกองทัพร่วมกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไปรบกับสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แห่งกรุงละแวก และได้รับชัยชนะในปี  พ.ศ. ๒๑๓๗/ ค.ศ. ๑๕๙๔ 

          In 2134 BE./ 1591 AD. corresponding to the position of the Pratha monk, the abbot of Lamphu Temple, the ruler of Mueang Khukhan sent an army together with King Naresuan the Great to fight with King Boromracha IV, the Longvek king. King Naresuan the Great conquered the Longvek king in 2137 BE. / 1594 AD.

ภาพที่ ๔
       พ.ศ. ๒๓๐๒ / ค.ศ. ๑๗๕๙ ทองด้วงและบุญมา มหาดเล็กหลวง ได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าเอกทัศ ให้ตามหาพระยาช้างเผือกตกมัน  แตกโรงออกจากกรุงศรีอยุธยาเข้าสู่เขตเทือกเขาพนมดงเร็ก  โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ตากะจะ เชียงขันธ์ และหัวหน้าชาวเขมรป่าดงกลุ่มอื่นๆ
          2302 BE,1759 AD. Thongdoung and Boonma, the chamberlain, received a royal order from King Ekathat to catch Phaya Chang Pheak, the white elephant was in heat, and he fled from Ayutthaya into the forest of Phanom Dongrek Mountain. They were helped by Ta KaJa and Chieng Khan and other  jungle Khmer leaders.

ภาพที่  ๕
ทองด้วง บุญมา ตากะจะ และเชียงขันธ์ พร้อมด้วยหัวหน้าชาวเขมรป่าดง
ร่วมนำพระยาคชาธร ช้างเผือกแตกโรง  กลับกรุงศรีอยุธยา 

Thong Duong, Boonma, Ta Kaja, and Chieng Khan and the leaders of Forest Khmer 
brought Phaya Kachathorn, the white elephant returned to Krungsri Ayutthaya.

ภาพที่  ๖
พ.ศ. ๒๓๒๑ / ค.ศ. ๑๗๗๘  พระราชครูบัวทำพิธีปรกพลให้กองทัพตากะจะและเชียงขันธ์ 
ณ วัดลำภู เพื่อไปทำศึกที่เวียงจันทน์

2321 BE,1778 A.D. Phra Ratchakhru Bue performed a ceremony of Prokphon for
Takaja and  Chieng Khan Army at Wat Lamphu to fight in Vientiane.

ภาพที่  ๗
พ.ศ. 2321 / ค.ศ. ๑๗๗๘  กองทัพเมืองขุขันธ์   เมืองสังขะ    และเมืองสุรินทร์ 
ร่วมกับทัพหลวง    ไปทำศึกที่เวียงจันทน์
2321 BE. / 1778 AD. The army of Mueang Khukhan, Mueang Sangkha and Mueang Surin
with the Royal Army  went to war in Viengtiane.

ภาพที่  ๘
พ.ศ. ๒๓๒๑ / ค.ศ. ๑๗๗๘  ขบวนช้างอัญเชิญพระแก้วเนรมิต  มาถวายพระราชครูบัว
และพระแก้วมรกต พระบาง กลับกรุงธนบุรี
2321 BE. / 1778 AD. The procession of elephants invited Pra Kaew Neramit to offer 
Phra Ratchakhru Bue and the Emerald Buddha and Phrabang returned to Krungthonburi.


ภาพที่  ๙
ตากะจะ หรือ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน และ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ทั้ง 8 ท่าน คือ 
คุณตาเชียงขัน ท้าวบุญจันทร์  คุณตาทองด้วง  คุณตาท้าวใน  คุณตาท้าวนวน  
คุณตาท้าวกิ่ง คุณตาท้าววัง และคุณตาปัญญา ขุขันธิน
Takaja or Praya Krai Pakdi Srinakorn Lamduan and 8 of Praya Khukhan Pakdi Srinakorn Landuan namely,  Kunta Chiengkhan, Thao Boonchan, Kunta Thongdung, Kunta Thaonai, Kunta Thaonuan, Kunta Thao King, Kunta Thaowang and Kunta Panya Khukhandhin.

เรียบเรียง :  คณะกรรมการฝ่ายประวัติศาสตร์เมืองขุขันธ์
ลำดับเนื้อหา : ดร.วัชรินทร์  สอนพูด  ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ 
                         นายเทอดศักดิ์  เสริมศรี  ประธานคณะกรรมการวัดบ้านลำภู / ผู้ทรงคุณวุฒิ
                         นายนิติภูมิ  ขุขันธิน 
กรรมการ /ฝ่ายประวัติศาสตร์  สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ 
คำแปลภาษาอังกฤษ  :  ผศ.ดร.ปริง  เพชรล้วน 
                                         กรรมการ /ฝ่ายประวัติศาสตร์  สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ 
อักษรภาษาขอมโบราณเมืองขุขันธ์  :  นายสุเพียร  คำวงศ์   เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
ขอบคุณ :  
ภาพภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง ณ ภายในอุโบสถพระแก้วเนรมิต
                   วัดบ้านลำภู  ตำบลใจดี  อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2566

โขนเมืองขุขันธ์-จังหวัดขุขันธ์

        โขน เป็นศิลปะการแสดงที่โดดเด่นอีกประเภทหนึ่งของเมืองขุขันธ์   ที่มีลักษณะโดดเด่นไม่น้อยไปกว่าที่หัวเมืองอื่นๆของไทยในอดีต   การแสดงโขนของเมืองขุขันธ์ (ก่อน พ.ศ. 2453 เรียกว่า ยุคเมืองขุขันธ์ และระหว่าง พ.ศ. 2453 - 2481 เรียกว่า ยุคจังหวัดขุขันธ์ ) เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2426   กล่าวถึงคณะโขนของเมืองขุขันธ์  มีอยู่ ๒ คณะ  คือ

        1.โขนคณะของพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน
(ท้าวปาน หรือปัญญา ขุขันธิน) เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 9 มีบ้านพักอยู่ในหมู่บ้านเก่า หรือบ้านคุ้มในวัง (ซรก-กนง-เวี๊ยง) พักอยู่คุ้มเดียวกับพระยาขุขันธ์ฯ อยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดบกจันทร์นครในปัจจุบัน   โขนคณะนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2426 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการที่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนนครลำดวน(ปัญญา ขุขันธิน) ได้นำครูโขนมาจากกรุงเทพฯและครูโขนจากกัมพูชาเข้ามาถ่ายทอดและฝึกหัดการแสดง เมื่อปี พ.ศ. 2426-2447 นักแสดงใช้ผู้ชายล้วน โดยมีบทพากย์ บทร้องเป็นภาษาเขมร และใช้ภาษาเขมรในการแสดงทั้งเรื่อง เนื่องจากเมืองขุขันธ์ในขณะนั้น มีกลุ่มชาติพันธุ์เขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในเนื้อเรื่องมากขึ้น


        2.โขนคณะของพระยาบำรุงบุระประจันต์  จางวาง หรือจันดี กาญจนเสริม เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2450-2452 มีบ้านพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วย  ทางทิศใต้ของวัดไทยเทพนิมิตรในปัจจุบัน  พักอยู่คุ้มเดียวกับพระยาบำรุงฯ มีคุณยายบัวแก้ว กาญจนเสริม(บุตรสาวของพระยาบำรุงฯ) หัวหน้าคณะเป็นผู้พากย์ และร้อง  รูปแบบการแสดงทั้งหมดมีลักษณะเช่นเดียวกับคณะของพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน(ปัญญา ขุขันธิน) เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 9 แตกต่างกันที่ใช้ภาษาไทยในการแสดง และสืบทอดมาถึงคุณยายบัวแก้ว กาญจนเสริม พ.ศ. 2452-ยุคครูบรรณ มากนวล 

        โขนทั้งสองคณะจะแสดงแต่เรื่องรามเกียรต์ โดยตัดเอาบางตอนในเรื่องรามเกียรติ์มาเป็นบทแสดง    ตัวละครทุกตัวจะแต่งด้วยเครื่องประดับ  ที่มีเพชร นิล จินดา  ประดับแพรวพราวไปทั้งตัว  มีหัวโขนตามลักษณะของตัวละครแต่ละตัว  มีเครื่องดนตรี ประกอบเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่  ส่วนฉากเป็นผ้าพื้นธรรมดาไม่มีลวดลาย  โรงแสดงปลูกเป็นโรงยาวยกพื้นสูงประมาณครึ่งเมตร  ปูด้วยกระดาน กั้นห้องเฉพาะห้องแต่ตัว หลังคามุงด้วยหญ้าคา   จะแสดงในโอกาสวันสำคัญต่างๆ  เช่น  เทศกาลปีใหม่ หรือมีงานจ้างไปแสดงในงานโกนจุกของลูกผู้มีอันจะกิน ส่วนมากจะแสดงในเวลากลางวัน มีครั้งหนึ่ง นายพุฒเทศ  กาญจนเสริม  สมัครผู้แทนราษฏรได้จ้างโขนของคุณยายบัวแก้ว ไปแสดงเพื่อหาเสียงบริเวณหนองปวงตึก   มีผู้มาชมจำนวนมาก  จูงลูกจูงหลานมาดู  คนที่อยู่ไกลก็จะขี่ม้ามาดู บ้างก็ขับเกวียน บรรทุกลูกหลานมาเต็มเล่มเกวียน ฝุ่นคลุ้งไปทั้งทุ่ง      ผลการหาเสียงในครั้งนั้น  ทำให้ นายพุฒเทศ   กาญจนเสริม  ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฏรคนแรกของขุขันธ์ และเป็นผู้แทนคนแรกของระบอบประชาธิปไตย  ซึ่งท่านเป็นคนขุขันธ์โดยกำเนิด เป็นบุตรชายคนที่สองของพระยาบำรุงฯซึ่งเกิดจากภรรยาคนที่สองของท่าน  ถือเป็นเกียรติประวัติอันดีและเป็นที่ยินดีของชาวขุขันธ์ยิ่งนัก ส่วนผู้ที่มาดูโขนที่เป็นผู้หญิงก็จะแต่งกายด้วยผ้าถุงไหมสวยงามมาก  ประชันโฉมกัน  ห่มผ้าสะใบหรือตุ้มอกด้วยผ้าสะใบ  ใส่ตุ้มหูเงิน  ตุ้มหูทองแพรวพราว  มีกริยามารยาทที่เรียบร้อยสวยงาม  นั่งดูด้วยอาการสงบเสงี่ยม  เมื่อพอใจตัวละครก็จะร้องชมและปรบมือ  ผู้ชายก็จะนุ่งผ้าโสร่งไหมและผ้าขาวม้าไหม  ตามฐานะของตน



        เมื่อปี พ.ศ.  2511 -  2515  สืบเนื่องมาจากผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  ขณะนั้น คือ นายกำเกิง สุรการ ได้ให้ทางอำเภอขุขันธ์  ฝึกซ้อมการแสดงโขนเพื่อใช้แสดงในงานกาชาดประจำปีของจังหวัดศรีสะเกษ  และสืบเนื่องจากการที่นายบุญเลิศ จันทร อดีตครูใหญ่ในโรงเรียนขุขันธ์วิทยา(ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ได้ฝึกซ้อมนักเล่นโขน ตอนท้าวมาลีราชว่าความ เล่นรอบกองไฟในงานของโรงเรียนขุขันธ์วิทยา และนายศิริ ศิลาวัฒน์  อดีตครูใหญ่โรงเรียนบ้านหัวเสือ(ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ที่ได้ฝึกซ้อมโขน ตอน พระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ และสังหารกุมภกรรณ โดยใช้เครื่องแต่งกายเท่าที่จะหาได้ไม่มีหัวโขนแต่ใช้หน้ากากปิดหน้าแทนนั้น  ทำให้ นายสม  ทัศศรี  นายอำเภอขุขันธ์   ได้รื้อฟื้นโขนขึ้น  โดยมอบหมายให้ อาจารย์ศิริ  ศิลาวัฒน์  ครูใหญ่โรงเรียนบ้านหัวเสือ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ศึกษาธิการอำเภอ  คณะครูโรงเรียนขุขันธ์ และครูประชาบาลอำเภอขุขันธ์ ได้ฝึกซ้อมและนำไปแสดงในงานกาชาดประจำปีของจังหวัดศรีสะเกษ  โดยให้ นายศิริ ศิลาวัฒน์ จัดทำบทให้ผู้ฝึกซ้อม จำนวน 4 ตอน คือ
         1. ตอนกำเนิด พาลี สุครีพ หนุมาน
  
       2. ตอนทรพีฆ่าพ่อ และพาลีฆ่าทรพี
         3. ตอนหนุมานส่งข่าวนางสีดา และเผากรุงลงกา 
         4. ตอนพระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ และสังหารกุมภกรรณ
         บรรเลงประกอบการแสดงโดยวงปี่พาทย์บ้านหัวเสือ ได้รับการชื่นชมอย่างดียิ่ง มีผู้ชมสนใจไปชมการแสดงโขนของขุขันธ์แน่นขนัดทุกๆคืน ไปแสดงติดต่อกัน 3 ปี จึงเลิกไป เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง





ลักษณะการฝึกหัด
          มีการฝึกหัดเบื้องต้น ได้แก่ ตบเข่า ถองสะเอว ดัดมือ เต้นเสา ตีลังกา และการฝึกเข้าเรื่อง แต่ไม่มีการฝึกแม่ท่าหรือรำเพลงช้า เพลงเร็วเหมือนโขนกรุงเทพฯ

ลักษณะการแสดง
          ลักษณะการแสดงของโขนขุขันธ์ เป็นการแสดงที่ผสมผสานระหว่างการแสดงโขนกรุงเทพฯและโขนกัมพูชา โดยได้ปรับปรุงวิธีการแสดงให้เหมาะสมกับสังคมชาวขุขันธ์ โขนขุขันธ์ไม่มีบทพากษ์ มีแต่การเจรจาซึ่งเหมือนกับการพูดคล้องจองกัน ในการแสดงในยุคแรกใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาใช้ทั้งชายและหญิงสามารถแสดงได้ทั้งตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง บทที่ใช้มีลักษณะเป็นกลอนเลียนแบบกลอนบทละคร
ลักษณะการรบระหว่างยักษ์และลิง
           จะแตกต่างจากโขนกรุงเทพฯ คือ ใช้ท่ากระบี่กระบอง หรือ ท่าฟันดาบในการรบ ส่วนการขึ้นลอยจะมีการใช้ท่าขึ้นลอยหลังเพียงลอยเดียว
ลักษณะเครื่องแต่งกาย
           เครื่องแต่งกายจะแต่งยืนเครื่อง แต่ไม่วิจิตรงดงามอย่างโขนกรุงเทพฯ ลักษณะการปักจะใช้เลื่อมปักเป็นลวดลาย


วงดนตรีที่ใช้บรรเลง
           ใช้วงปี่พาทย์อีสานใต้ เพลงที่ใช้ในการแสดงมีลักษณะแปร่งหรือเพี้ยนกว่าเพลงโขนกรุงเทพฯ ลักษณะเพลงส่วนใหญ่จะออกไปทางเขมร แต่มีลูกตกบางเพลงอยู่ในทำนองเพลงไทย

            หลังจากปี พ.ศ. 2515  โขนขุขันธ์  ไม่ถูกนำมาแสดงให้ลูกหลานได้ชมอีกเลย  คงเหลือแต่ความทรงจำของผู้ที่เคยร่วมแสดงและผู้ชมที่มีอายุมากแล้ว  ส่วนเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย หัวโขนและหัวครู เครื่องดนตรีปี่พาทย์ก็กระจัดกระจายหายไปหมด   และยังแอบรออนุชนรุ่นหลังได้สืบสานให้คงอยู่คู่เมืองขุขันธ์ตลอดไป  ทั้งนี้ ได้มีนักเรียน นักศึกษาที่สนใจ จากกรมศิลปากร,วิทยาลัยนาฎศิลป์ต่างๆ มาขอเรียนท่าของตัวละครบางตัว เช่น ลิง,หณุมาณ   อยู่บ่อยๆ

           ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลศรีประชานุกูลได้ทำการรื้อฟื้นการแสดงโขนขุขันธ์ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้นักเรียนในชุมชนุมโขนขุขันธ์อนุบาลศรีประชานุกูล เป้นผู้แสดง มีคณะครู/บุคลากรในโรงเรียน และคุณครูผู้สอนที่เคยแสดงโขนเมื่อปี พ.ศ. 2511-2515 เป็นผู้ฝึกซ้อมร่วมด้วย เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ และสืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่โดดเด่นสืบไป

เรื่องย่อรามเกียรติ์ ชุดยกรบ
ตอนหนุมานกล่องดวงใจและหย่าทัพ 
           ทศกัณฐ์ยกทัพรบกับพระรามแต่ทำอย่างไรก็ตามทศกัณฐ์ก็ไม่ตายจึงทูลว่าทศกัณฐ์ถอดดวงใจฝากไว้ที่ฤาษีโคบุตร หนุมานจึงอาสาไปนำกล่องดวงใจโดยให้องคตไปด้วยและทำทีขอให้ฤาษีโคบุตรช่วยพาไปถวายตัวจึงรับหนุมานไว้เป็นลูกบุญธรรม
        ฉากที่ 1 ทศกัณฐ์ว่าราชการ  มีความสงสัยว่าเหตุไฉนหนุมานถึงไม่เคยไหว้ตน หนุมานตอบว่าตนเองเกิดมาจากพระพาย การที่จะไหว้ใครต้องไหว้พระพายก่อน ซึ่งในกรุงลงกาไม่มีลมจึงไม่เคยได้ไหว้ ทศกัณฐ์ได้ถามถึงเรื่องการยกทัพไปรบกับพระรามหนุมานได้โอกาสที่จะแสดงตนว่ามีความจงรักภักดี จึงออกอุบายจะอาสาเป็นทัพหน้าไปตีเมืองเมืองพระราม ส่วนทศกัณฐ์ให้อยู่เป็นทับหลัง
  ฉากที่ 2 ตรวจพล มโหธรเตรียมกองทัพเพื่อรบกับฝ่ายพระราม(มโหธรเตรียมพล) หนุมานกับทศกัณฐ์ตรวจพล ทศกัณฐ์ชวนหนุมานออกรบ
     ฉากที่ 3 ยกรบ หนุมานอาสาล่วงหน้าไปก่อน แต่ไปแอบซุ่มกองทัพไว้ทางอื่นแล้วแอบไปเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์รบกับพระรามพลาดพลั้งเสียท่าให้กับพระราม โดนศรพระรามเข้าข้างชายโครงแต่ก็ไม่ตาย หนุมานปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่องดวงใจของทศกัณฐ์ประกาศจะมอบกล่องดวงใจให้กับพระราม สุดแท้แต่จะพิพากษาตัดสินชีวิตของทศกัณฐ์ เมื่อทศกัณฐ์เห็นกล่องดวงใจของตน จึงรู้ว่าหลงกลหนุมาน เกิดความโมโหเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากที่อุตส่าห์ยกเมืองยกสมบัติให้ แต่ต้องมาถูกหักหลัง จึงอ้อนวอนกล่องดวงใจคืน แต่หนุมานไม่ยอมให้ แถมด่าทอว่าโง่ที่หลงกลตัวเอง ให้มอบนางสีดาคืนแก่พระราม แล้วตัวเองจะขอพระราชทานอภัยโทษให้ พระรามขอให้ทศกัณฐ์ทบทวนให้ดี ให้ยกทัพกลับ และมอบนางสีดากลับคืนมา แล้วจะไว้ชีวิต ทศกัณฐ์โกรธหนุมานมาก จึงทำการหย่าทัพ และยกทัพกลับไปแล้วจะขอมารบกันใหม่

ขอบพระคุณผู้เขียน :
อาจารย์บรรณ  มากนวล,2547. 
นายขวัญชัย  ไชยโพธิ์  ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์,2562.
ขอบพระคุณภาพประกอบ : นายณฐกร ประเสริฐ รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์,2563.
ผู้ตรวจ/ทาน/เรียบเรียง : นายสุเพียร  คำวงศ์,2556-2563.

สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ต้อนรับอาจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษาและคณะ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

           เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 เวลา10.00 - 12.00 น. สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ได้มีโอกาสต้อนรับอาจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษาและคณะจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการทำวิจัยและจัดทำข้อมูลโขนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ #โขนเมืองขุขันธ์ในอดีตเมื่อกว่า130 ปีที่ผ่านมา โดยมีนายขวัญชัย ไชยโพธิ์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ให้การต้อนรับและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


 





Reference: 

-โขนเมืองขุขันธ์ http://www.mueangkhukhanculturalcouncil.org/2013/09/blog-post_9503.html
- สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ http://www.tkri.tu.ac.th/

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

คำว่า “โฎนตา” มีที่มาจากไหนหนอ ?

คําว่า “โฎนตา” มีที่มาจากไหนหนอ ?
            ทราบมาว่าเมื่อหลายปีก่อนหลายท่านเคยอยากทราบที่มาของคำนี้ และหลายท่านก็เคยถกเถียงกันอยู่   แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว คำนี้มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาขอมโบราณเมืองขุขันธ์​ และภาษาเขมรที่กัมพูชา คือคำว่า​​
อ่านว่า /do:n-ta: โดน-ตา / เมื่อถอดคำเทียบกับภาษาไทย  ได้ดังนี้  

ก็คือ พยัญชนะ ฎ ในภาษาขอมโคกขัณฑ์ ที่พบใช้ในใบลานในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และในภาษาเขมรที่กัมพูชา เป็นพยัญชนะอโฆษะ(เสียงเบา ไม่ก้อง) เมื่อเป็นพยัญชนะ ต้นออกเสียง /d
ɑː  ดอ / นั่นเอง
ก็คือ สระ -ู ( อู )  ในภาษาขอมโคกขัณฑ์ ที่พบใช้ในใบลานในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และในภาษาเขมรที่กัมพูชา ออกเสียงว่า ʔou  โอ / เมื่อถูกนำหน้าด้วยพยัญชนะประเภทอโฆษะ
ก็คือ พยัญชนะ น  ในภาษาขอมโคกขัณฑ์ ที่พบใช้ในใบลานในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และในภาษาเขมรที่กัมพูชา ออกเสียงว่า /nua นัว /
ก็คือ พยัญชนะ ต ใน ในภาษาขอมโคกขัณฑ์ ที่พบใช้ในใบลานในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และในภาษาเขมรที่กัมพูชา ออกเสียงว่า /tɑː ตอ / 

ก็คือ สระ -า (อา) ในภาษาขอมโคกขัณฑ์ ที่พบใช้ในใบลานในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และในภาษาเขมรที่กัมพูชา ออกเสียงว่า /ʔ อา /
        จากที่ได้กล่าวอธิบายมาแล้วข้างต้น เมื่อถอดคำเพื่อเขียนเป็นภาษาไทยให้ตรงกับรากศัพท์เดิมที่ใกล้เคียงที่สุด ก็จะได้คำว่า “โฎนตา ” นั่นเอง

คำว่า “โฎนตา” มีความหมายว่าอย่างไร ?

อ่านว่า  /do:n-ta: โดน-ตา / ในภาษาขอมโคกขัณฑ์ และในพจนานุกรมภาษาเขมรของสมเด็จพระสังฆราช ชวน ญาต พ.ศ. 2512 (ค.ศ.1967) หน้าที่ 309 ส่วนด้านขวาบรรทัดที่ 4 เขียนไว้ว่า
យាយ​និង​តា ។ ពួក​បុព្វបុរស ក៏​ហៅ​ថា ដូន​តា បាន​ដែរ : សែន​ដូន​តា, សំពះ​ដូន​តា (ម. ព. បុព្វបុរស ផង) ។ រ. ស. ជា ព្រះ​បិតរ (បិ-ដ) ។ แปลอธิบายความได้ว่า คำว่า โฎนตา เป็นคำนาม แปลว่า ยายกับตา หรือ พวกบรรพบุรุษ ก็เรียกว่า โฎนตา ได้เช่นกัน เช่น คำว่า​
อ่านว่า / แซน-โดน-ตา /​
แปลว่า เซ่นไหว้บรรพบุรุษ
อ่านว่า/ ซ็อมเปียะฮฺ-โดน-ตา /
แปลว่า ไหว้บรรพบุรุษ หรือไหว้ปู่ย่าตายาย นั่นเอง
อ่านว่า / นิว-เปล-บน-ปรฺเป็ยนี-แซน-โดน-ตา-เก-เทวอ-บน-อุตึฮฺ-พ็อล-โอย-โดน-ตา / แปลว่า ในช่วงเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตาสารทแห่งความกตัญญูเดือนสิบ จันทรคติ เขามักนิยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ โฎนตา นั่นเอง
**************************************
แล้วใครผิดใครถูก ระหว่างคนที่ใช้คำว่า "โดนตา" กับคนที่ใช้คำว่า "โฎนตา"
**************************************
   >>ขอตอบว่า ตอบว่า ถูกทั้งคู่ ครับ  แต่ว่า...
        คนที่ใช้คำว่า "โดนตา" ก็คือเขาเขียนตามคำที่ได้ยินจากคนท้องถิ่นเขมรพูด นั่นคือ สัมผัสได้แค่เพียงหูได้ยินเสียงว่า /โดน-ตา/ ก็เลยเขียนตามที่ได้ยินนั้น  แต่ถ้าจะบัญญัติขึ้นมาเป็นศัพท์ในพจนานุกรมไทย...ก็ต้องเขียนให้ครบเพราะงานนี้ไม่ได้โดนแค่ตา แต่ยังโดนถึงยายด้วย...

        สำหรับคนที่ใช้คำว่า "โฎนตา" ก็คือผู้รู้ถึงรากเหง้าที่มาของคำศัพท์ หรือกล่าวว่า น่าจะรู้ลึกกว่า นั่นเอง ครับ 

        และขอฝากว่า...ถ้าท่านคิดว่า แซนโฎนตา เป็นประเพณีเขมร หรือของชนเผ่าเขมรอีสานใต้ของเรา ก็ต้องใช้  ฎ   คำว่า  โฎนตา ในภาษาเขมรใช้ตัว  ฎ  เขียน ไม่ได้ใช้ตัว  ด 

        เพราะคำว่า “โฎนตา แปลว่า ปู่และย่า หรือ ตาและยาย  และยังหมายถึง  บรรพบุรุษ อีกด้วย

        ดังนั้น ประเพณีแซนโฎนตา   คือประเพณีที่มีการทำบุญอุทิศและเซ่นไหว้ให้ปู่ย่า ตายาย  และบรรพบุรุษ  ผู้ล่วงลับไปแล้ว (แม้แต่คำว่า เซ่น ก็เป็นคำภาษาเขมร คือมาจากคำว่า แซน  นั่นเอง)  คำศัพท์ในภาษาไทย มิได้มีเฉพาะเพียงคำไทยชาติเดียว  มีคำของชาติอื่นปะปนอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะภาษาเขมร  ฉะนั้น  "แซนโฎนตาเขียนตามภาษาเดิมถูกต้องแล้ว  จะเขียน แซนโดนตา  ให้ตาตัวเองแตกทำไม   มันมาโดนตา ก็ตาแตกนะซิ  เฮ่อ  น่าสงสาร...555... 

ตัวอย่างหนังสือที่มีคำอธิบายคำว่า แซนโฎนตา พบจำหน่ายในร้านหนังสือเขมร
  

หมายเหตุ  เอกสารที่มีข้อความภาษาเขมรที่นำเอามาขึ้นในเวปนี้ เพราะต้องการมาประกอบหลักฐานที่มาของคำว่า "โฎนตา" เท่านั้นและมีความเห็นว่า บนโลกใบนี้ สำหรับคำว่า วัฒนธรรมประเพณี คงไม่มีพรมแดนขวางกั้นเหมือนอาณาเขตประเทศ นะครับ

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566

"พระแก้วเนรมิต" องค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองขุขันธ์

  "พระแก้วเนรมิต" องค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดลำภู เรียกเป็นภาษาขอมโบราณเมืองขุขันธ์ว่า ព្រះតាលំពូ /เปรียะฮฺ-ตา-ลมปู/ หรือ ព្រះដំរីក្រាប /เปรียะฮฺ-ด็อม-เร็ย-กราบ/ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี จวบจนถึงปัจจุบัน องค์พระสร้างมาจาก  สำริด หรือทองสำริด (bronze) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (มาระวิชัย) หรือ ชนะมาร หรือ มารสะดุ้ง ภาษาขอมโบราณเมืองขุขันธ์ เรียกว่า ព្រះពុទ្អរូបផ្ចាញ់មារ เป็นพระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณีในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้ ​มีประวัติเล่ามาว่า
  เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๑ พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯให้ทองด้วง (ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็น พระยาจักรี และต่อมาเป็นพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งรัตนโกสินทร์) และบุญมา (ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็น พระยาสุรสีห์ และต่อมา ร.๑ โปรดให้เสด็จเถลิงพระราช มนเฑียรที่พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ยกทัพไปปราบศึกกบฎที่เวียงจันทร์ โดยทรงมีบัญชาให้กองทัพจากเมืองขุขันธ์ร่วมทำศึกในครั้งนี้ด้วย ซึ่งนำทัพโดยพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตาสุ หรือตากะจะ) และน้องชายคือ หลวงปราบ(เชียงขันธ์)


            เมื่อชนะศึกได้ยกทัพกลับ กองทัพส่วนกลางได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบางกลับสู่กรุงธนบุรี ส่วนกองทัพเมืองขุขันธ์ ได้อัญเชิญพระแก้วเนรมิต และพญาครุฑมาประดิษฐานไว้ที่เมืองขุขันธ์
   
คาถาบูชาพระแก้วเนรมิต
กล่าวนะโม 3 จบ แล้วต่อด้วยพระคาถาว่า

อิมัสมิง ลำภูวาเส  ปติฏฐิตัง
สิริสะเกสา  ฐิรัฏเฐ มหาชเนหิปูชิตัง
รัตนนิมิตนามัง  พุทธรูปัง ครุฑพาหนะนัง
อหังวันทามิ สัพพะทา
นะมะการานุภาเวนะ
สัพพะโสตถี ภวันตุเม ฯ
 
        
           ปัจจุบัน องค์พระแก้วเนรมิต ประดิษฐานไว้ ณ วัดลำภู(รัมพนิวาส) หมู่ที่ ๔ ตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ (วัดลำภูสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๓ ถึงปัจุบัน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีอายุ ๔๓๓ ปี)
  พระแก้วเนรมิต เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์และแสดงอภินิหารมากมาย  นอกจาก พระแก้วเนรมิตแล้วยังมีสิ่งศักดิสิทธิ์อยู่คู่องค์พระแก้วเนรมิต คือ องค์พญาครุฑ ซึ่งองค์พระศักดิ์สิทธิ์สร้างมาจากที่ใด และใครเป็นผู้สร้าง ยังไม่ทราบแน่ชัด ทราบเพียงแต่ว่า อัญเชิญมาจากเมืองลาว เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๑ ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราช  พร้อมกันกับ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต) และองค์พระบาง     ซึ่งได้มาหยุดพำนักประดิษฐานที่เมืองขุขันธ์  ตามตำนานกล่าวว่า ได้มีการสมโภชน์องค์พระ ณ เมืองขุขันธ์  ๗ วัน ๗ คืน
            สำหรับพุทธานุภาพขององค์พระแก้วเนรมิต และพระครุฑ ที่เลื่องลือมานาน ก็คือ การดื่มน้ำสาบานแสดงความบริสุทธิ์  ผู้ที่ไม่สุจริตกระทำผิดจริงจะมีอันเป็นไปทุกราย บางรายถึงขั้นได้ว่ายบกก่อนเข้าวัด จนหน้าอกถลอกปอกเปิก  และบางรายรู้ด้วยตนเองว่าเป็นฝ่ายผิด ก็ยอมรับผิด และไม่กล้าที่จะดื่มน้ำสาบาน
           ความศรัทธาและความนิยมในองค์พระ เป็นที่นิยมของข้าราชการ  ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง พ่อค้า  คหบดี และประชาชนในจังหวัดและประเทศใกล้ไกลที่ได้ยินได้ทราบกิตติศัพท์ ตลอดจนประชาชนชาวอำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ  เมื่อได้มากราบสักการะบูชาแล้วจักมีชัยชนะ ประสบความสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองตลอดไป


            นอกจากนี้ ที่บริเวณรอบวัดยังมีต้นมะขามตาไกรที่พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ซึ่งชื่อเดิมของท่านคือชื่อว่า ตาสุ  แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า តាកញ្ចា័ស /ตากัญจะฮฺ /เนื่องจากท่านเป็นนักรบรูปร่างสูงใหญ่ ) ท่านเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรกในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นผู้ปลูก  และด้านข้างต้นมะขามตาไกร ยังมีศาลปู่ตาพระยาไกรที่ชาวบ้านปลูกสร้างเพื่อบูชาต่อดวงวิญญาณของท่านมาถึงทุกวันนี้  เชื่อว่าเป็นต้นมะขามศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลผู้มากราบไหว้ขอพร ประสบแต่ความสุขความเจริญ ชาวบ้านเรียกว่า ដើមអម្ពឹលតាក្រៃ /เดิม*-อ็อม-ปึล-ตา-กรัย/  และบริเวณด้านหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระอุโบสถวัดลำภู ยังมีเสาหลักเมืองเก่าหลักแรกของเมืองขุขันธ์ในอดีตตั้งแต่สมัยขอมโบราณ ทำมาจากไม้กันเกรา ถือเป็นไม้ที่มีความศักดิสิทธิ์ ซึ่งในสมัยพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตาสุ หรือตากะจะ) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๑ ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธี​ ប្រក់ពល /ปร็อก-ป็วล*/ โดยเจ้าอาวาสรูปที่ ๔ ของวัดลำภู คือราชครูบัว เป็นพระอาจารย์ของเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรกนั่นเอง ซึ่งพิธีปร็อกป็วล นี้ เป็นพิธีเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ไพร่พลให้เกิดความฮึกเหิม พร้อมที่จะออกไปร่วมรบและไปอัญเชิญองค์พระแก้วมรกต พระบางและองค์พระแก้วเนรมิตมาจากเมืองลาว และนอกจากนี้ยังมีองค์พระธาตุเจดีย์เก่าแก่ จำนวน ๒ องค์ (ซึ่งสร้างขึ้นราว พ.ศ. ๒๑๑๒ - ๒๑๒๗ รัชสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช กรุงศรีอยุธยา เสียแก่ พระเจ้าบุเรงนอง ราชวงศ์ตองอู แห่งกรุงหงสาวดี เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี  ดังนั้น  เมืองขุขันธ์ ในขณะนั้นจึงมีสถานะเป็นรัฐอิสระ เป็นระยะเวลา ๑๕ ปีด้วย) ที่เป็นร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองของเมืองขุขันธ์ในอดีตตั้งแต่ยุคขอมโบราณมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้แวะเวียนมาสักการะ และเยี่ยมชมอีกด้วย

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย