ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

เกี่ยวกับเรา

สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ได้รับพระราชทานเข็มเกียรติคุณ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี 2563
สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ได้รับพระราชทานประกาศเกียรติคุณ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี 2563
สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์และภาคีเครือข่าย
- ทำเนียบคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ (พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน) คลิก
- ประกาศสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสภาวัฒนธรรม 2564 คลิก
- ข้อบังคับสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ.2559 คลิก
- แหล่งที่มาของบประมาณสนับสนุนให้แก่สภาวัฒนธรรม และแนวทางปฏิบัติของสภาวัฒนธรรม กรณีได้รับเงินงบประมาณสนับสนุน คลิก
- แผนงาน/โครงการของสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ประจำปีงบประมาณ 2560  คลิก
ทะเบียนรับ-ส่งหนังสือ/คำสั่ง/คุมเอกสารสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ 2560-ปัจจุบัน  คลิก
- การจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ประจำปี พ.ศ.2560
คลิก
ระเบียบวาระการประชุม
ปีงบประมาณ 2562
-การประชุมคณะกรรมการบริหารสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ 2_2562  คลิก
-พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ คลิก
-เอกสารอบรมเครือข่ายมรดกทางวัฒนธรรมศรีสะเกษ(25620606-07) คลิก
-คู่มือบุญประเพรีแซนโฎนตา ปี 2562 (อยู่ระหว่างการเรียบเรียง) คลิก

ปีงบประมาณ 2560-2561
-​ ระเบียบวาระการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมทุกระดับจังหวัดศรีสะเกษ ครั้งที่ 1/2560 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมศรีพฤทเธศวร ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ชั้น5  คลิก
-​ ระเบียบวาระการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ครั้งที่ 1/2560  คลิก รายละเอียด
-​ ระเบียบวาระการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ครั้งที่ 2/2560  คลิก รายละเอียด
-เอกสารการประชุมลด ละ เลิกการบริโภคอัลกอฮอล์ เมื่อวันที่24-03-2560  คลิก

ผลงานเด่นของสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
- บทการแสดงแสง สี เสียง สื่อผสมผสาน ตำนานเมืองขุขันธ์2560  คลิก
รายชื่อผู้แสดงงานแสง สี เสียง สื่อผสมผสาน ตำนานเมืองขุขันธ์ ในงานแซนโฎนตา ระหว่างวันที่ 15-16 กันยายน 2560   คลิก

ข้อมูลที่น่าสนใจ
- ที่มาของสภาวัฒนธรรม(ฉบับย่อ)  คลิก
-​ การรับจดแจ้งเป็นองค์กรเครือข่ายวัฒนธรรม ระดับสภาวัฒนธรรมตำบล อำเภอ จังหวัด​ คลิก
- ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมระดับสภาวัฒนธรรมจังหวัด อำเภอ ตำบล  คลิก
- ประกาศจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง มาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในการจุดและปล่อยหรือกระทำการอย่างใดเพื่อให้ บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โดมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน ขึ้นไปสู่อากาศ(30 กันยายน 2562) คลิก

ระเบียบและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กับคำว่า "วัฒนธรรม" คลิก
อำนาจหน้าที่และภารกิจของสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอ
- ต้นแบบข้อบังคับสภาวัฒนธรรมตำบล อำเภอและจังหวัด ปี พ.ศ. 2555
- ระเบียบกระทรวงวัฒนธรรม ว่าด้วยสภาวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ คลิก
- ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง การขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ คลิก
- ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง แก้ไขประกาศการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ คลิก
- ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง การขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๖๑ คลิก
- ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง การจดแจ้ง และหนังสือรับรองการจดแจ้งเป็นเครือข่ายวัฒนธรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. 2556 คลิก
- ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง การจดแจ้ง ฯเป็นเครือข่ายวัฒนธรรม พ.ศ. 2555 คลิก
- ประกาศนายทะเบียนสมาคมประจำกรุงเทพมหานคร เรื่อง จดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคม [สมาคมสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย] พ.ศ. 2557
- ประกาศนายทะเบียนสมาคมประจำกรุงเทพมหานคร เรื่อง จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฯ พ.ศ. 2556
- กฎกระทรวงกำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๕
กระทู้ถามที่ ๗๒๙ ร. เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนสภาวัฒนธรรม ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมว่าด้วยการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๓๖
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมว่าด้วยการจัดสวัสดิการศิลปินและผู้มีผลงานทางด้านวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๒
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมว่าด้วยเงินตอบแทนประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๓๗
ระเบียบคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติว่าด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๓๗
ระเบียบกระทรวงวัฒนธรรมว่าด้วยกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๖
ระเบียบการจ่ายเงินสวัสดิการศิลปินแห่งชาติ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม
แนวปฏิบัติ การช่วยเหลือศิลปินแห่งชาติเมื่อเสียชีวิต (กรุงเทพมหานคร)
แนวปฏิบัติ การช่วยเหลือศิลปินแห่งชาติเมื่อเสียชีวิต (ต่างจังหวัด)
แนวปฏิบัติ การช่วยเหลือผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม (กรุงเทพมหานคร)
แนวปฏิบัติ การช่วยเหลือผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม (ต่างจังหวัด)
ฟอร์มหนังสือมอบอำนาจ
แผนยุทธศาสตร์กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม
พระราชบัญญัติวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๓
- กฎกระทรวง กำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกและประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

คำว่าภาษาเขมร "ฎาร"ในช่วงเทศกาลแซนโฎนตา คืออะไร ?

        คำว่า "ฎาร" นี้ เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี และสันสกฤต มักพบใช้ในภาษาขแมร์(เขมร) แต่ไม่พบใช้ในภาษาไทย เช่นเดียวกับคำว่า "โฎนตา" ดังนั้น ถ้าไปเปิดพจนานุกรมภาษาไทย เพื่อค้นหาก็จะไม่พบคำนี้
แต่ถึงอย่างไรก็ตามคำนี้ถ้ากล่าวเชิงเปรียบเที่ยบแล้ว น่าจะตรงกับคำในภาษาไทยที่พบใช้บ่อย ๆในการทำบุญ คือคำว่า "ทักษิณานุปทาน" นั่นเอง

         ដារ ( ន. )   ( សំ., បា. ) ឈ្មោះ​បុណ្យ​តូច​ម្យ៉ាង​ក្នុង​ពុទ្ធ​សាសនា ជា​បុណ្យ​ទក្ខិណានុប្បទាន, ទាយក​និមន្ត​ព្រះ​ភិក្ខុ​សង្ឃ​សូត្រ​សត្តប្បករណាភិធម្ម និង​តិរោកុឌ្ឌសូត្រ ហើយ​គេ​រាប់​បាត្រ​រួច ឧទ្ទិស​ចំណែក​បុណ្យ ជូន​ទៅ​បុព្វបេតបុគ្គល​ដែល​ចែក​ឋាន​ទៅ​កាន់​បរលោក​ហើយ : ធ្វើ​បុណ្យ​ដារ, និមន្ត​លោក​ដារ ។
         แปลถอดความจากภาษาขแมร์(เขมร)เป็นภาษาไทย ได้ว่า

         ฎาร (น.) (สัน.,บา.) 
ชื่อการทำบุญอย่างหนึ่งในช่วง เทศกาลแซนโฎนตา หรือสารทเขมร ซึ่งจัดขึ้นโดยชาวบ้านในท้องถิ่นที่พูดภาษาเขมร และกวย(บางท่านเรียก ส่วย) เป็นการทำบุญที่ไม่ได้จัดอย่างยิ่งใหญ่ แต่เป็นการทำบุญทักษิณานุปทาน  โดยทายกจะนิมนต์พระสงฆ์สวดสัตตัปปกรณาภิธรรม และติโรกุฑฑสูตร แล้วร่วมกันตักบาตร และอุทิศส่วนกุศล ส่งไปยังบุพพเปตบุคคลซึ่งได้ล่วงลับไปสู่ปรโลกแล้ว บางครั้งก็เรียกว่า /ทเวอ-บน-ดาร/ ทำบุญฎาร หรือ /นิ-ม็วน*-โลก*-ดาร/ นิมนต์พระฎาร

        ส่วนคำว่า "ทักษิณานุปทาน" แปลว่า การเพิ่มให้ซึ่งทักษิณา การเพิ่มพูนทักษิณาให้เขียนว่า ทักษิณานุประทาน ก็ได้



 
ทักษิณานุปทาน หมายถึงการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายได้รับผลเป็นความสุขความเจริญ พ้นจากภาวะที่ทุกข์ทรมานในทุคติ 
มีวิธีทำ คือตักบาตร เลี้ยงพระ บังสุกุล ถวายสังฆทาน เป็นต้น แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ตาย
พระมหาสมศักดิ์  สิริวฑฺฒโน เจ้าอาวาสวัดค่ายนิคม
กล่าวสัมโมทนียกถาแด่ญาติโยมที่มาร่วมทำบุญอุทิศฯ 22 กันยายน 2556

              สำหรับ ทักษิณานุปทาน ที่นิยมปฏิบัติกันคือ ในงานฉลองหรืองานวันเกิด นิยมนำอัฐของบรรพบุรุษหรือของอุปัชฌาย์อาจารย์ มาทำพิธีบังสุกุลกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้เพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวที ส่วนกุศลไปให้เพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีก่อนแล้วจึงทำพิธีบุญเพื่อตัวเองในภายหลัง                

ผู้เรียบเรียงเนื้อเรื่อง​ : นายสุเพียร  คำวงศ์ 
ขอบคุณที่มา :
พจนานุกรมขแมร์ ฉบับพุทธศาสนบัณฑิตย์ สมเด็จพระสังฆราช(คณะมหานิกาย) ชวน ณาต โชตัญญาโณ ค.ศ. ๑๙๖๗ (พ.ศ.๒๕๑๐)

กัลยาณมิตร
.[ออนไลน์] http://www.kalyanamitra.org/daily/dhamma/index.php?option=com_content&task=view&id=2237&Itemid=99999999
,18 กันยายน  2556. 

พจนานุกรม dictionary.tovnah.com.[ออนไลน์] http://dictionary.tovnah.com/?q=%E1%9E%8A%E1%9E%B6%E1%9E%9A&dic=all ,18 กันยายน  2556. ภาพถ่ายจากphrakhrusuwani.authaidit [ออนไลน์] https://www.facebook.com/phrakhrusuwani.authaidit/posts/1416159955272359,18 กันยายน  2556.

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส

          ในปี  พ.ศ.  2505  สมัยที่ นายรังสรรค์  รังสิกุล  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  ศาลโลกได้ตัดสินให้ประเทศไทยยกปราสาทเขาพระวิหาร  ที่อยู่ในเขตตำบลบึงมะลู  อำเภอกันทรลักษ์  จังหวัดศรีสะเกษ  ตกเป็นของกัมพูชา  นับเป็นการเสียดินแดนครั้งสุดท้ายของประเทศไทย  การเสียเขาพระวิหารนั้นเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของโลกเหตุการณ์หนึ่ง  เนื่องจากเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโลก   ซึ่งขณะนั้น มีเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มากนัก  และเป็นเหตุการณ์เดียวในประเทศไทย มีลำดับความเป็นมาโดยสรุป  ดังนี้ 
          วันที่  11  สิงหาคม  พ.ศ.  2506  สมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุ  กษัตริย์แห่งประทศกัมพูชา  ทำสัญญายกเขมรให้เป็นของฝรั่งเศส
          วันที่  7  ธันวาคม  พ.ศ.  2406  มีการทำสนธิสัญญาลับระหว่าง  ราชอาณาจักรสยาม  กับสหราชอาณาจักรกัมพูชา  ยืนยันว่า  กัมพูชาเป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรสยาม 
          วันที่  15  กรกฎาคม  พ.ศ.  2410  มีการทำสัญญาระหว่างราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศส    โดยพระเจ้าแห่งกรุงสยาม  ยอมรับว่ากรุงกัมพูชาเมืองในอารักขาของฝรั่งเศส
          วันที่  10  ตุลาคม  พ.ศ.  2436  ราชอาณาจักรสยาม  ทำสนธิสัญญายกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเกาะแก่งต่างๆ  ให้แก่ฝรั่งเศส
          พ.ศ.  2442  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์  เสด็จเขาพระวิหาร  ทรงขนานนามว่า "ปราสาทพรหมวิหาร" ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า "ปราสาทพระวิหาร" ซึ่งพระองค์ได้จารึก ร.ศ. และพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า "118 สรรพสิทธิ" 
          วันที่  13  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2447  ฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากับราชอาณาจักรสยาม  ยอมยกเมืองหลวงพระบาง  บนฝั่งขวาแม่น้ำโขง  และเมืองมโนไพร  ดินแดนทางใต้ของภูเขาพนมดงเร็ก  ให้แก่ฝรั่งเศส  แลกกับจันทบุรี  ( จันทบูร )  ที่ฝรั่งเศสยึดไว้ 
          วันที่  29  มิถุนายน  พ.ศ.  2447  มีการทำสนธิสัญยาเพิ่มเติม  โดยราชอาณาจักรสยามเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส ระหว่างทะเลสาบและทะเลหลวง 
          วันที่  23  มีนาคม  พ.ศ.  2450  มีการทำสนธิสัญญาระหว่าง  ราชอาณาจักรสยาม  กับฝรั่งเศส  โดยราชอาณาจักรสยามยอมยกดินแดน พระตะบอง เสียมราช และศรีโสภณ  ให้แก่ฝรั่งเศส  เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย  และเมืองตราด  และเกาะทั้งหลายที่อยู่ภายใต้แหลมลิง  ไปจนถึงเกาะกูดให้แก่สยาม 
          วันที่    30  มกราคม  พ.ศ.  2472  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  นายกบัณฑิตสภา  ได้เสด็จปราสาทเขาพระวิหาร  มี  เรสิดัง  กำปงธม  แต่งเครื่องแบบเต็มยศมาคอยรับที่บันไดขึ้นเขาพระวิหาร  มีการชักธงฝรั่งเศส  ในกลางเขาพระวิหารด้วย  จึงสร้างความไม่พอใจแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพอย่างยิ่ง 
          วันที่  11  ตุลาคม พ.ศ.  2483  กรมศิลปากรของราชอาณาจักรไทยได้ประกาศขึ้นทะเบียน  ปราสาทเขาพระวิหาร  เป็นโบราณสถาน  ในราชกิจจานุเบกษา
          ปี  พ.ศ.  2484  ญี่ปุ่นซึ่งทำสงครามอินโดจีน  ชนะฝรั่งเศสได้ยกดินแดนบางส่วนรวมทั้งปราสาทเขาพระวิหารคืนให้แก่ไทย  เป็นผลให้เกิดจังหวัดจำปาศักดิ์  จังหวัดพระตะบอง  จังหวัดพิบูลสงคราม  ดินแดนเขาพระวิหารไม่ต้องสงสัยว่าอยู่ในดินแดนของกัมพูชา  และสมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุ  เริ่มมีบทบาทในการเมืองในกัมพูชา  หลังสงครามโลกครั้งที่  2
          พ.ศ.  2492  ฝรั่งเศสและกัมพูชาคัดค้านอำนาจอธิปไตยของไทยเหนือปราสาทเขาพระวิหารอย่างเปิดเผย   และประท้วงไทยไม่ให้ส่งคนไปรักษาเขาพระวิหาร  หลังจากที่ไทยไม่ยอมรับคำแนะนำของคณะกรรมการประนีประนอม   ณ  กรุงวอชิงตัน  ณ  สหรัฐอเมริกา  เมื่อ  ปี  พ.ศ.  2450  ทำให้สัมพันธภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาเสื่อมทรามลงตลอดเวลา 
          ปี  พ.ศ.  2501  กระทรวงโฆษณาการของกัมพูชาพิมพ์เผยแพร่บทความ  สรุปว่า  ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา  ตามอนุสัญญาฉบับวันที่  13  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2447  อันได้รับการยืนยันจากสนธิสัญญา    ฉบับลงวันที่  23  มีนาคม  พ.ศ.  2450  สนธิสัญญานี้กลับบังคับใช้อีกตามข้อตกลงที่  กรุงวอชิงตัน  เมื่อ  พ.ศ.  2479
          วันที่  4  สิงหาคม  พ.ศ.  2501  ประเทศไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน  ทางชายแดนด้านกัมพูชา  รวม  6  จังหวัด  ได้แก่  จังหวัดจันทบุรี  จังหวัดสุรินทร์  จังหวัดบุรีรัมย์  จังหวัดศรีสะเกษ  จังหวัดเดชอุดม  และจังหวัดอุบลราชธานี  สื่อมวลชนทั้งสองประเทศมีการโจมตีกันอย่างกว้างขวางและรุนแรงขึ้น 
          วันที่  1  ธันวาคม  พ.ศ.  2501  รัฐบาลกัมพูชาประกาศตัดความสัมพันธไมตรีทางการฑูตกับ สหราชอาณาจักรไทย  หลังจากที่การเจรจาด้วยสันติวิธีไม่ได้ผล 
          วันที่  6  ตุลาคม  พ.ศ.  2502  รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ   โดยขอให้ศาลวินิจฉัย  ให้ราชอาณาจักรไทยถอนกำลังและอาวุธจากบริเวณเขาพระวิหาร  ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า  อธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา 
          วันที่  4  ธันวาคม  พ.ศ.  2502  ราชอาณาจักรไทยประกาศขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง  ตามประกาศฉบับที่  2  ลงวันที่  4  ธันวาคม  พ.ศ.  2502  ทั้งมีแผนที่แสดงเขาพระวิหารแนบท้ายด้วย 
          โดยรัฐบาลไทยออกแถลงการณ์  อ้างข้อกำหนดในสนธิสัญญา  พ.ศ.  2447  ต้องใช้สันกันน้ำอันเป็นเขตแดนธรรมชาติซึ่งจะทำให้เขาพระวิหารเป็นของไทย  แต่กัมพูชาอ้างแผนที่ที่ได้จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสมตามสนธิสัญญา  พ.ศ.  2447  ซึ่งมีพลเอกหม่อมชาติเดชอุดม  เป็นประธานกรรมการฝ่ายไทย  และพันโทแบร์  นารถ  เป็นกรรมการฝ่ายฝรั่งเศส  แล้วส่งให้ฝ่ายไทย  50  ฉบับ  สมเด็จน้องยาเธอสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ  เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย   ทรงตอบรับเมื่อ  พ.ศ.  2451  และทรงขอแผนที่ฉบับนี้เพิ่มอีก  15  ฉบับ  เพื่อแจกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นฝ่ายไทย  แสดงว่าไทยยอมรับแผนที่นี้
ม.ร.ว.  เสนีย์  ปราโมช  เป็นทนายแก้ต่างให้ฝ่ายไทย  ในกรณีพิพาทเป็นคดีขึ้นสู่ศาลโลก 
          วันที่  15  มิถุนายน    พ.ศ.  2505  ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก  ได้พิจารณาลงความเห็นด้วยคะแนนเสียง  9  ต่อ  3  ว่า  ซากปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา  ทั้งนี้เป็นไปตามแผนที่  ซึ่งฝรั่งเศสทำตามสนธิสัญญา  พ.ศ.  2447  และ  พ.ศ.  2450         โดยอาศัยเหตุผลว่า  ราชอาณาจักรไทย  เพิกเฉยมิได้ประท้วงแผนที่ดังกล่าวนั้น  ส่วนฝ่ายไทยยืนยันตลอดมาว่า  รัฐบาลไทยถือสันปันน้ำเป็นเขตแดนตามข้อกำหนด  ในสนธิสัญญาทุกฉบับ 
          วันที่  15  กรกฎาคม  พ.ศ.  2505  รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย  ( พลเอกประพาส  จารุเสถียร )  ได้กล่าวคำปราศรัยที่จำต้องสละอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร  และทำการรื้อถอนทุกสิ่งออกนอกเขตรวมทั้งเคลื่อนย้ายเสาธง  รวมทั้งธงชาติ  จากหน้าผาเป้ยตาดี  นำลงโดยไม่มีการลดธงลงจากยอดเสาแต่อย่างใด  พื้นที่บริเวณเขาพระวิหารที่ได้เสียไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู  พื้นที่ประมาณ   50  ไร่  เพื่อให้เข้าใจกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร   จึงขอนำคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหารให้ได้ใหทราบ ดังนี้

กรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร  พิจารณาเชิงกฎหมายโดยศาลโลก 

    คดีเขาพระวิหารซึ่งกัมพูชาเป็นโจทย์ยื่นฟ้องไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  หรือศาลโลกเป็นเรื่องของการอ้างอธิปไตยของคู่กรณีเหนือดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของซากปราสาทเขาพระวิหารนี้
สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่  10  ตั้งอยู่บนเหลี่ยมเขา  ซึ่งเป็นผืนดินที่ต่อเนื่องออกไปจากแผ่นดิน  ของประเทศไทย  ในบริเวณเทือกเขาดงรัก  และหักลงสู่พื้นที่ราบลุ่มในกัมพูชาซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเขาพระวิหารมาก 
    ก่อนหน้าที่กัมพูชาจะเสนอข้อพิพาทให้ศาลโลกพิจารณา  สนธิสัญญาลงวันที่  15  กรกฎาคม  ค.ศ.  1867  ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสได้ แบ่งเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน  ให้อยู่ต่ำลงไปทางทิศใต้ของเทือกเขาดงรัก   กล่าวคือเป็นเขตแดนที่อยู่ต่ำกว่าบริเวณซากปราสาทเขาพระวิหาร  ต่อมาฝรั่งเศสเห็นว่าการปักปันเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญา  ปี  ค.ศ.  1867  นี้ยังดีพอ  ประกอบกับขณะนั้นอังกฤษและฝรั่งเศสสามารถตกลงแบ่งเส้นอิทธิพลของกันและกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้  ตามคำแถลงการณ์ร่วมลงวันที่  15  กรกฎาคม  ค.ศ.  1896  ฝรั่งเศสจึงหยิบยกเรื่องขึ้นขอเปิดการเจรจากับสยามเพื่อขอเลื่อนเส้นเขตแดนให้ขึ้นมาทางเหนือของเทือกเขาดงรัก  โดยฝ่ายสยามยอมสละดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสตามอนุสัญญา  ฉบับวันที่  13  กุมภาพันธ์  ค.ศ.  1904  และสละอธิปไตยเหนือดินแดนหลวงพระบาง  เสียมราฐ  และศรีโสภณ  ให้ฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งตามอนุสัญญา  ฉบับลงวันที่  23  มีนาคม  ค.ศ.  1907  เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสิ้นสุดของสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและรับตราดกับปราจีนบุรีคืนจากฝรั่งเศส
    อนุสัญญาฉบับปี  ค.ศ.  1904  มิได้กำหนดเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนไว้อย่างละเอียดภาคีคู่สัญญาเพียงแต่ระบุให้ใช้แนวเส้นสันปันน้ำเป็นหลักในการแบ่งเส้นเขตแดนลงบนแผนที่  ดังข้อความที่ปรากฏอยู่ในข้อ  1  และข้อ  3  ของอนุสัญญาว่า 
    "ข้อ  1  เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชาเริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาบจากปากแม่น้ำสะตุง  โรลูโอส ……..ฯลฯ…….จนกระทั่งถึงทิวเขาดงรัก  จากที่นั้นเส้นแบ่งเขตแดนคือ  สันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสน  และแม่น้ำโขง  กับแม่น้ำมูล  อีกด้านหนึ่ง………." 
   
     "ข้อ  3  ให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนที่ประกอบเป็นอินโดจีนฝรั่งเศสการปักปันนี้ให้กระทำโดยคณะกรรมการผสม  ประกอบด้วยพนักงานซึ่งประเทศภาคีทั้งสองแต่งตั้ง  งานของคณะกรรมการจะเกี่ยวข้องกับเขตแดนส่วนที่กำหนดไว้ในข้อ  1  และ  ข้อ  2……….
    คณะกรรมการผสมฯ  จึงได้ดำเนินงานปักปันเส้นจนเกือบจะเสร็จสยามกับฝรั่งเศสได้ชิงลงนามอนุสัญญาปี  ค.ศ.  1907  จึงยังมิได้ทำแผนที่สมบูรณ์ให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายลงนามรับรองแต่อย่างใด  ต่อมา  ฝรั่งเศสได้ดำเนินการตีพิมพ์แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามยังมิได้รับรองอย่างเป็นทางการนั้น  โดยได้จัดพิมพ์แต่เพียงฝ่ายเดียวที่กรุงปารีสแล้วจึงส่งแผนที่จำนวน  11 ท่อนมาให้รัฐบาลสยามในจำนวนนี้มีแผนที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินแดนบริเวณเขาพระวิหารด้วยฉบับหนึ่ง  รัฐบาลสยามมิได้รับรองแผนที่ดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร   เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น  กัมพูชาจึงนำแผนที่มาประกอบคำฟ้องในภาคผนวก  1  ของตนต่อศาลโลก  จึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า    "แผนที่ภาคผนวกฉบับที่  1"  แผนที่ฉบับนี้คลาดเคลื่อนจากบทบัญญัติในข้อ  1  ของอนุสัญญาปี  ค.ศ.  1904  ดังปรากฏในผลการพิสูจน์  จากผู้เชี่ยวชาญแผนที่ของคู่พิพาท  ดังนี้      ประเด็นสำคัญของศาลโลกจะต้องพิจารณาก็ คือ  การจัดพิมพ์แผนที่ดังกล่าวโดยการกระทำฝ่ายเดียวของฝรั่งเศสมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐภาคีหรือไม่  ศาลยุติธรรมได้ลงความเห็นว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งเขาพระวิหาร  โดยอาศัยหลักเหตุผลสองประการดังต่อไปนี้  คือ  ผลผูกมัดของแผนที่ภาคผนวกที่  1  ต่อฝ่ายไทยและท่าทีที่ขัดแย้งต่อคำให้การในชั้นศาลของฝ่ายไทย 
    เหตุผลหลักที่สนับสนุนอธิปไตยของกัมพูชา  ผลผูกมัดของแผนที่ภาคผนวกที่ 1  เหตุผลหลักที่สนับสนุนอธิปไตยของกัมพูชา ได้แก่คุณค่าของตัวเองในแผนที่  ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี 
         1)  คุณค่าของแผนที่ในตัวเอง  อนุสัญญาฉบับปีที่  ค.ศ.  1907  กำหนดให้คู่ภาคีตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนในเทือกเขาดงรักด้านตะวันออก  รวมทั้งเขาพระวิหารด้วย  แต่ปรากฏว่า  คณะกรรมการชุดที่  2ไม่เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องปักปันเส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารอีก  การกระทำนี้อาจจะตีความในทางกลับกันได้ว่า  คณะกรรมการผสมชุดที่  2  เห็นว่าเส้นเขตแดนที่ถูกปักปันตามอนุสัญญาปี  ค.ศ.  1904  นั้นมีความชัดเจนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องมาปักปันซ้ำอีก  ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าการปักปันเส้นเขตแดนในสมัยของคณะกรรมการผสมชุดที่  1  นั้นถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ 
         ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของศาลโลกเองนั้น  ศาลเห็นว่าในลักษณะที่มองเห็นได้ในระยะแรก  แผนที่ของภาคผนวกที่  1  เป็นเพียงผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคซึ่งไม่ได้รับการรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการผสมชุดที่  1  และไม่มีเอกสารทางราชอื่นใดที่พิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า  แผนที่ภาคผนวกที่  1  นั้น  เป็นผลงานโดยชอบของคณะกรรมการผสมชุดที่  1  ดังนั้นศาลจึงต้อง  "สรุปว่าในระยะเริ่มแรกและในขณะที่แผนที่ถูกจัดทำขึ้น  ( ค.ศ. 1907 )  แผนที่นั้นไม่มีลักษณะที่จะผูกมัดรัฐภาคี"            
         2)  ความผิดพลาด ( error )  ที่เกิดขึ้นในแผนที่  ศาลโลกยอมรับว่า  แผนที่ภาคผนวกที่  1  คลาดเคลื่อนไปจากแนวสันปันน้ำที่อนุสัญญา  ค.ศ.  1904  กำหนดเอาไว้  อย่างไรก็ดี  ถึงแม้นว่ามีการปักปันเส้นเขตแดนแผนที่ภาคผนวกที่  1  จะมิได้เป็นผลงานของคณะกรรมผสมชุดที่  1  ก็ตาม  แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  " รัฐบาลมีอำนาจที่จะรับรองผลการปักปันเส้นเขตแดนที่คลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำ ( ซึ่งอนุสัญญาปี  ค.ศ.  1904  บัญญัติไว้ )  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  การรับรองแผนที่ภาคผนวกที่  1  โดยรัฐบาลคู่พิพาทเป็นความตกลงระหว่างประเทศคู่สัญญาปี  ค.ศ.  1904  นั่นเอง "            
          3)  โดยที่รัฐบาลมิได้ทำการทักท้วงข้อผิดพลาดดังกล่าวขณะที่  และภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ส่งแผนที่ภาคผนวกที่  1  มาให้สยามพิจารณา  ฝ่ายไทยจึงมิอาจอ้างเรื่องการทำแผนที่ผิดพลาดจากข้อความในอนุสัญญา  เพื่อกำจัดผลผูกมัดของแผนที่ฉบับนี้  กล่าวคือ นัยหนึ่งก็คือ เมื่อรัฐบาลสยามและรัฐบาลไทยในสมัยต่อมานิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีคัดค้านเส้นเขตแดนที่ฝรั่งเศสตีพิมพ์ขึ้นทั้งที่ฝ่ายไทยสามารถจะหลีกเลี่ยงได้  หรือเมื่อฝ่ายไทยอยู่ในสถานการณ์ที่จะสามารถรับรู้ได้ว่าอาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น  การนิ่งเฉยของฝ่ายไทยนั้นเป็นการกระทำที่มีส่วนก่อให่เกิดความผิดพลาด  ( error )   นี้ขึ้นมา            
          4)  คุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี  ศาลโลกได้วิเคราะห์ว่าข้ออ้างที่ฝ่ายไทยว่า  ฝ่ายไทยมิได้เคยให้คำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรแก่แผนที่ภาคีภาคผนวก  1  นั้น  เป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถรับฟังได้  เพราะตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ฝ่ายไทยได้รับเอาแผนที่ดังกล่าวจากฝรั่งเศสจำนวน  50  ชุด  และยังได้ขอเพิ่มจากรัฐบาลฝรั่งเศส  15  ชุด  เพื่อจะนำไปแจกจ่ายให้กับข้าหลวงประจำจังหวัดอีกด้วย  ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ.  1909  คณะกรรมการจัดทำแผนที่ประเทศสยามก็ยังได้ประชุมกันที่กรุงเทพฯ เพื่อจัดทำแผนที่ประเทศสยามฉบับย่อโดยใช้แผนที่ภาคผนวกที่  1  นี้เป็นแม่แบบ  ฯลฯ  ดังนั้น  ถึงแม้ว่าฝ่ายไทยจะไม่ได้ให้คำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษร  แต่การประพฤติปฏิบัติของฝ่ายไทยก็ส่อเจตนาที่จะยอมรับโดยพฤตินัยต่อเส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารที่ตีพิมพ์ลงในแผนที่ฉบับนั้นมาโดยตลอดฝ่ายไทย "ได้ให้ความยินยอมโดยการนิ่งเฉยแล้ว  ดังภาษิตลาติน ที่ว่า  ผู้ที่เงียบเฉยอยู่ย่อมถือเสมือนได้ว่ายินยอม  ถ้าเขามีหน้าที่จะพูด  ( Qui  tacet  consentire  videtur  si  logui  debsset  ac  pothisset )    ศาลโลกได้ยึดท่าทีของฝ่ายไทยเป็นเกณฑ์ในการตัดสินคดีนั้น  เพราะสภาพของสังคมระหว่างประเทศมีลักษณะค่อนข้างจะเป็นอนาธิปไตย  ปราศจากการปกครองตามลำดับ  ( hierarchie )  ที่พบได้เฉพาะในโครงสร้างของสังคมภายในประเทศ  ดังนั้นศาลโลกจึงไม่มีหน้าที่จะต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องแบบฟอร์มของการให้ความยินยอมหรือตกลงใจ( Consent )  ของรัฐระดับเดียวกับที่ศาลภายในให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ตามระบบของกฎหมายภายใน          
           นอกจากเหตุผลหลักคือ  การยอมรับแผนที่ภาคผนวกที่  1  โดยพฤตินัยของฝ่ายไทยมีเหตุทำให้ฝ้ายไทยแพ้คดีไปแล้ว  ศาลโลกก็ได้ให้เหตุผลสำรองไว้เพื่อยืนยันว่า  ประเทศไทยไม่มีอธิปไตยเหนือดินแดนในบริเวณนี้
    เหตุผลอันดับรองที่สนับสนุนอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชาต่อท่าทีของฝ่ายไทย  นอกจากเหตุผลดังกล่าว  ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยต้องผูกพันกับแผนที่แล้ว  ศาลโลกยังได้ให้เหตุผลสนับสนุนอันดับรองลงมาอีกประการหนึ่ง  คือ ท่าทีที่ขัดแย้งกันเองในข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย   ศาลโลกได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับท่าทีของประเทศไทยระหว่างปี  ค.ศ.  1909  ถึง  ค.ศ.  1954  เพื่อลงความเห็นว่าประเทศไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงท่าทีดังกล่าวจึงเป็นการยอมรับสภาพเดิม  ( Status  quo )  ของเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก  1  มาโดยตลอด  เช่น  ในปี  ค.ศ.  1934  เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของไทยได้ค้นพบว่ามีความผิดพลาดในเรื่องการเขียนตำแหน่งของลำน้ำเสน ( O'Tasem)  ลงในแผนที่  แต่ก็มิได้ทำการประท้วงในระดับระหว่างประเทศแต่อย่างใดในทำนองเดียวกัน  ความตกลงฉบับลงวันที่  17 พฤศจิกายน ค.ศ.1934 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการประนีประนอมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้  ของการทบทวนเส้นเขตแดนไทย - อินโดจีน  ประเทศไทยได้ขอให้ทบทวนเส้นเขตแดนหลายจุด  ยกเว้นส่วนที่เป็นข้อพิพาทนี้อีกประการหนึ่งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของฝ่ายไทย  คือ  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปสำรวจทางโบราณคดีของเขพระวิหาร  ฝรั่งเศสได้ตั้งกองทัพรับเสด็จ  แต่ฝ่ายไทยมิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเพื่อคัดค้านอธิปไตยของฝรั่งเศสเหนือเขาพระวิหาร         ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอ้างว่า  รัฐบาลของตนมิได้ทำการประท้วงเพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ครอบครองดินแดนส่วนนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ ( bona  fide )  คือ  การปกครองโดยการเชื่อมั่นว่า  ดินแดนนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของตนมาโดยตลอด  แต่ศาลโลกก็เห็นว่า  " เป็นการยากที่ศาลจะยอมรับว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะสามารถลบล้างท่าทีของรัฐบาลไทยซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง "    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า  คำพิพากษาของศาลโลกได้นำเอาหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความของกลุ่มประเทศแองโกล - แซกซอน ( Anglo - Szxon  )  มาปรับใช้กับคดีนี้  หลักดังกล่าวได้แก่  หลักกฎหมายปิดปาก  หรือที่เรียกว่า  เอสตอปเปิล ( Estopple )  ซึ่งเป็นวิธีพิจารณาความที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความบริสุทธิ์ใจ  เปิดโอกาสให้คู่ความใช้วิธีการนี้ปิดปากฝ่ายตรงข้าม  เมื่อฝ่ายหลังให้การขัดแย้งกันเองศาลโลกไม่ได้ใช้สำนวนเอสตอปเปิลนี้โดยตรง  แต่กลับหลีกเลี่ยงไปใช้คำว่า  " preclusion "  แทน คำพิพากษาของศาลโลกฉบับนี้ตัดสินใจให้เขาพระวิหารอยู่ในดินแดนใต้อธิปไตยของกัมพูชา  ด้วยคะแนนเสียง  9  ต่อ 3  นับเป็นคำพิพากษาที่เอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมอีกฉบับหนึ่งของศาลโลก 
          นอกจากเหตุผลทางกฎหมายข้างต้นแล้ว    คำพิพากษานี้ยังแฝงไว้ด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศเอาไว้อีกด้วย  ศาลยอมรับว่าแผนที่ภาคผนวกที่  1  มีผลผูกมัดประเทศไทย โดยการยอมรับของฝ่ายไทยเองทั้ง ๆ  ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ของรัฐคู่พิพาทต่างยอมรับว่าแผนที่ดังกล่าวผิดพลาดไปจากตัวบทของอนุสัญญาปี  ค.ศ.  1904  แต่ศาลก็พิพากษาให้คงเส้นเขตแดนตามแผนที่นั้นไว้  เพราะเกรงว่าคำพิพากษาในแนวตรงข้ามจะเป็นคดีบรรทัดฐานสำหรับประเทศอื่น ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี  ค.ศ.  1960  เป็นระยะที่มีบรรดารัฐเอกราชเกิดใหม่จากดินแดนภายใต้อาณานิคมเป็นจำนวนมาก    โดยเฉพาะทวีปในแอฟริกา  ท่าทีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญยิ่งในอันที่จะรักษาเสถียรภาพและความปลอดภัยระหว่างประเทศไว้  โดยการรักษาสถานภาพเดิมของเส้นเขตแดน 

ขอบพระคุณผู้เขียน : นายนิติภูมิ  ขุขันธิน,2547.
ผู้ตรวจ/ทาน : นายสุเพียร  คำวงศ์,2556.

เหตุการณ์ในเมืองขุขันธ์ ครั้งสยามพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศส

       เนื่องจากสยาม(ชื่อเรียก ประเทศไทย ขณะนั้น)เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส ในสมัยรัชกาลที่ 5  สยามเราก็คอยโอกาสที่จะเรียกร้องเอาดินแดนกลับคืนอยู่ตลอดเวลา สยามเราก็ขอปรับปรุงเส้นกั้นพรหมแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศศ  ให้มีความยุติธรรม  เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2483  ฝรั่งเศสขอร้องให้เราสัตยาบันแก่สนธิสัญญาไม่รุกรานตามที่สัญญาทำไว้ สยามเราก็ยินดีที่จะให้สัตยาบัน ถ้าฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นกั้นพรมแดนด้วยความยุติธรรม และยกดินแดนบางส่วนให้แก่เราเสียก่อน  ฝรั่งเศสไม่ยอม มิหนำซ้ำยังนำทหารรุกรานดินแดนของเราอีกด้วย  ศึกพิพาทระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสก็เกิดขึ้น ณ จุดนี้เอง

       สยามเรารู้เค้าว่า สักวันหนึ่งการรุกรานของอินโดจีนฝรั่งเศส  จะรุนแรงตามลำดับ สยามเราก็จัดทัพ โดยมีกองบัญชาการทหารสูงสุดอยู่ที่พระนคร จัดตั้งกองทัพบูรพาที่จังหวัดปราจีนบุรี ให้ดูแลชายแดนภาคตะวันออก  และได้ตั้งกองทัพขึ้นมาอีก  ประจำอยู่จังหวัดนครราชสีมา  มีหน้าที่รับผิดชอบชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ซึ่งทั้งกองทัพปราจีนบุรี และกองทัพนครราชสีมา ต่างก็รวบรวมกำลังทหารจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าที่ประชุมพลตามชายแดนอย่างแน่นหนา  เครื่องบินฝรั่งเศสมาทิ้งลูกระเบิดที่จังหวัดปราจีนบุรีหลายครั้ง  และที่อำเภออรัญประเทศก็บ่อย ๆ  ส่วนมากจะมาทิ้งระเบิดในเวลากลางคืน  นอกจากนี้  ก็ยังบินไปทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม  ไทยเราใช้ปืนต่อสู้อากาศยานซึ่งมีอยู่ไม่กี่กระบอกทั้งไฟฉายส่องดูเครื่องบินประกอบการยิงก็มีจำนวนจำกัด ฝรั่งเศสเขาส่งฝูงบิน  บินลาดตระเวนชายแดน ฝูงบินสยามก็บินลาดตระเวนทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นเดียวกัน  วิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณา (กรมประชาสัมพันธ์ ในขณะนั้น)  โดยมีนายมั่นและนายคง เป็นโฆษก  ต่างโฆษณาออกอากาศว่ามีกองทัพต่างชาติล่วงล้ำอธิปไตย  สยามก็ยิงโต้ตอบอย่างหนัก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มตายเป็นจำนวนมาก ใช้สงครามจิตวิทยาประกอบด้วย  สถานีวิทยุที่ไซง่อน ซึ่งเป็นของฝรั่งเศสโฆษกมีนามแฝง  นายน้ำมันก๊าด  พูดภาษาไทยไม่ชัดเจน  ประกาศออกข่าวโต้ตอบสยามอยางรุนแรง
    กรณีสยามพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศสในครั้งนั้น  เดือดร้อนถึงเมืองขุขันธ์อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง  ผู้คนเดือนร้อนไปทั้งเมือง  เคยทำมาหากินตามปกติ  ก็ชะงักลงแบบกระทันหัน  ข้าวในไร่ในนายืนต้น  ชูรวงสุกเหลืองอร่ามเต็มทุ่งนา  หามีเจ้าของไปเก็บเกี่ยวไม่  แต่ละคนสาละวนอยู่กับหาทางหลบหนีภัย  ไม่มีเวลาที่จะเก็บเกี่ยว  วัว  ควาย  หมู  เป็ด  ไก่  ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม  บางตัวก็เข้าคอกเอง  เข้าเล้าเอง  ไม่มีโจรผู้ร้าย  กลางวันกลางคืนเงียบสงัดราวกับเป็นป่าช้า  แม้แต่หมาเองก็ไม่มีเวลาเห่าหอน  เพราะมันติดตามเจ้าของไปอยู่ในป่า  ผู้คนขณะนั้นมีการเตรียมตัวหลบภัย  โดยหุงข้าวตากให้แห้งใส่ถุงใส่กะโลง(ลังไม้ฉําฉา/หีบไม้)มากเท่าไรยิ่งดี  เพื่อแบกหามไปกินเอาดาบหน้า เก็บข้าวของมีค่าทั้งหลายทั้งปวงเข้าหีบห่อ  แม้แต่ฝังไว้ใต้ดินก็มี  มอบหมายแต่ละหีบแต่ละห่อให้ลูกหลานรับผิดชอบ  กล่าวคือพร้อมจะหนีได้ทุกเวลาถ้าภัยมาถึงตัว  หนีไปแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ส่วนมากอยู่ในป่าทางทิศตะวันตกบ้านแทรง  และป่าละเมาะริมฝั่งห้วยเหนือ  ทางเหนือและทางทิศใต้
    วิธีหลบภัย  กำนันและผู้ใหญ่บ้านตีกลองตีเกราะบอกลูกบ้านให้ขุดหลุมหลบภัย  ประจำบ้านใครบ้านมัน  ห้ามจุดไฟและก่อไฟในยามค่ำคืน  หลังคาบ้านของใครที่มุงด้วยสังกะสี  ให้ตัดใบมะพร้าวทางมะพร้าวมาปกปิดให้มิดชิด  ฝาผนังตึกรามบ้านช่อง  หรือกำแพงบ้านให้เอาสีดำทาให้หมด  มิฉะนั้นมีความผิด  แม้แต่กำแพงตึกของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองขุขันธ์ ซึ่งเป็นสีขาวก็ถูกทาด้วยสีดำ  ให้หุงข้าวกินแต่หัววัน  สิ่งของที่มีค่าพยายามเก็บไว้ในตัว  หากต้องเกิดบ้านแตกสาแหรกขาด  ต้องอพยพไปไกล ๆ  จะได้เอาของมีค่าพวกนี้ขายเพื่อเลี้ยงครอบครัว  โรงเรียนปิดไม่มีกำหนด  ไม่มีการเรียนการสอนเมื่อเหตุการณ์ปกตินักเรียนทุกคนจะได้เลื่อนชั้นโดยไม่มีการสอบ

        เครื่องบินทิ้งระเบิดของฝรั่งเศส ส่วนมากจะบินมาทิ้งระเบิดในเวลากลางคืน  คืนหนึ่งเวลาประมาณ 4 ทุ่ม  เครื่องบินของฝรั่งเศสบินไปทิ้งลูกระเบิด ซึ่งคนขุขันธ์ สมัยนั้น เรียกว่า "ลูกแตก"(เกรื๊อบ-แบก)  คืนนี้แหละคุณพ่อคุณแม่ลืมปลุกผู้เขียน  คุณพ่อคุณแม่หนีไปถึงป่าละเมาะริมห้วยใกล้บ้านก่อและบ้านแขว  จึงรู้ว่าลืมผู้เขียนอยู่บ้าน  คุณพ่อรีบกลับมาเอาผู้เขียน เมื่อผู้เขียนตื่นขั้นด้วยความตกใจคุณพ่อพาผู้เขียนเดินทางกลับไปยังป่าละเมาะริมห้วยด้วยอาการรีบเร่งเร้าร้อน  ผู้เขียนเห็นหน้าคุณแม่ก็ดีใจใหญ่  สักครู่ใหญ่ ๆ ก็เสียงดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แรงระเบิดกระเทือนถึงผู้เขียนขณะนั่งในป่าก้นกระดกขึ้น  ขนาดเมืองขุขันธ์กับศรีสะเกษห่างกัน 49 กิโลเมตร  แรงระเบิดยังกระเทือนถึงกันได้  แสดงว่าลูกระเบิดมีอานุภาพแรงมาก  รุ่งเช้าได้รับฟังสถานีวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการกระจายเสียงออกอากาศโดยโฆษก นายมั่นและนายคง เรามีเครื่องรับวิทยุจากกรมโฆษณาการอยู่เครื่องหนึ่ง  ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านมุมอาคารที่ทำงานของอำเภอขุขันธ์ในครั้งโน้น ว่าลูกระเบิดทิ้งที่เรือนจำและวัดพระโตหลายลูกมีการเสียหายเล็กน้อย  ผู้คนปลอดภัยทุกคนไม่มีการตายและบาดเจ็บ

       ลูกระเบิดถูกทิ้งที่ทุ่งนาบ้านแดง  คืนหนึ่งเดือนหงายพระจันทร์เต็มดวงเวลาประมาณสองทุ่มกว่า ๆ  ขณะนั้นทางอำเภอขุขันธ์ กำลังดูละครร้องประกอบดนตรีไทย  เนื่องในงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ ผู้คนกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินกับตัวละคร หนุ่ม ๆ ต่างก็นั่งคุยกับสาว  แม่ค้าข้าวหลาม  ส้มตำ  ถั่วลิสงต้ม  ขนมครก  ขนมเรียงเม็ด  ขนมหูช้าง  อย่างมันปาก  ทันใดนั้น  เครื่องบินบินโฉบมาในระยะต่ำแทบจะชนหลังคาโรงเรียนศรีประชานุกูล  ช่วงพริบตาไฟดับหมดผู้คนรีบหนีสุดชีวิตทุกสิ่งเงียบสงัด  เสียงเครื่องบินบินวนไปมาเหนือเมืองขุขันธ์  ประมาณ 10 นาที  มันบินกลับข้ามภูเขาดงรักไปยังประเทศเขมร  รุ่งเช้าขึ้นมาผู้คนต่างพูดว่า  มีคนพบลูกระเบิดโตเท่ากับปลีกล้วยที่ทุ่งนาบ้านแดง สถานีตำรวจส่งตำรวจจำนวนหนึ่งไปเก็บกู้ระเบิดมาไว้ที่สถานีตำรวจ  ผู้เขียนได้ไปดูกับเขาเห็นโตเท่าปลีกล้วยเป็นสีแดง

        เหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ และอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมืองขุขันธ์พรางตาไม่ให้เห็นเมืองขุขันธ์ ต่างพากันเซ่นบวงสรวงด้วยอาหารคาวหวาน  หมู  เป็ด  ไก่  อธิษฐานให้ลูกหลานปลอดภัยจากศึกสงครามครั้งนั้น  มีแต่ความสุข

ขอบพระคุณผู้เขียน : นายนิติภูมิ  ขุขันธิน,2547.
ผู้ตรวจ/ทาน : นายสุเพียร  คำวงศ์,2556.

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ดาบประจำตำแหน่งเมืองขุขันธ์


           คำว่า “ดาบประจำตำแหน่ง”  ไม่ทราบว่าเรียกถูกหรือผิด  แตผู้เขียนเองเข้าใจว่าคงเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งของเจ้าเมืองสมัยก่อน  ที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้เป็นเครื่องประดับยศหรือ  มีความดีความชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง  ผู้เขียนเคยเห็นดาบฝักเงินหนึ่งเล่ม  และกระบี่หนึ่งเล่มที่บ้านนาย  เสงี่ยม  ศรีสุภาพ  (ท่านมีศักดิ์เป็นลุงของผู้เขียน)  ท่านบอกผู้เขียนว่าอีกหนึ่งเล่มคือ  ฝักทอง  ดาบฝักทองนั้นผู้เขียนไม่เห็นเนื่องจากอยู่ในครอบครองของ   นายเมธี  ศ. ศรีสุภาพ  อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก   ดาบฝักเงินฝักทองชุดนี้ตกทอดมาทาง  ขุนศรีสุภาพพงษ์  (บุญนาค  ศรีสุภาพ)  ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา)

              ดาบโบราณอีกหนึ่งชุดซึ่งปัจจุบันคงตกทอดอยู่กับทายาทของท่านกำนันพิมพ์สวรร์ค์ ขุขันธิน อดีตกำนันตำบลห้วยเหนือ  ผู้เรืองวิชาไสยศาสตร์  สามารถเลี้ยงดูกุมารทองได้  ท่านกำนันพิมพ์สวรรค์  เป็นบุตรของ หลวงสุระรัตนมัย  (บุญมี  ขุขันธิน)  อดีตนายอำเภอคนแรกของเมืองขุขันธ์   

 

               และที่จะขอกล่าวถึงดาบสำคัญอีกเล่มหนึ่ง  คือ  ดาบพระพิชัย  ราชวงษา (บุญมี  ศรีอุทุมพร)  ท่านเป็นอดีตนายอำเภอคนหนึ่งของเมืองขุขันธ์  ผู้เขียนได้รับรู้เรื่องดาบพระพิชัยจากญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียนท่านเคยได้รับฝากดาบเล่มนี้ไว้จาก  คุณยายบัว  แก้วศรีอุทุมพร  ต่อมาลูกชายของคุณยายบัวแก้วคือ  นายซ่อนกลิ่นได้มาขอรับดาบเล่มนี้กลับคืนไป  เมื่อนายซ่อนกลิ่นถึงแก่กรรมแล้ว  เรื่องดาบพระพิชัยก็ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลยเรื่องดาบโบราณที่ผู้เขียนกล่าวถึงทั้งหมดนี้  ล้วนเป็นดาบอาถรรพ์ผู้มีอำนาจและบารมีเท่านั้นจึงจะครอบครองได้  ผู้เขียนได้รับรู้เรื่องดาบจากญาติผู้ใหญ่และโดยเฉพาะจากปู่ของผู้เขียนเอง  ซึ่งท่านเป็นน้องชาย  ขุนศรีสุภาพพงษ์  ก่อนจบเรื่องดาบ  ผู้เขียนขอนำพระราชประวัติบางตอนของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ  สมเด็จพระอนุชาธิราชในรัชกาลที่ 1  เกี่ยวกับเรื่องดาบดังนี้

              กล่าวกันว่า  พระแสงดาบที่พระองค์ทรงใช้ฆ่าฟันข้าศึกศัตรูในยามมีศึกสงครามอย่างโชกโชนนั้น  พระแสงดาบซึ่งเคยได้ดื่มเลือดข้าศึก  บางครั้งจะร้อนจนไม่อาจจับต้องได้  เจ้าพนักงานต้องอันเชิญลงสรงในน้ำจึงจะคลายความร้อนลงได้  ต่อมาเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้วพระองค์ได้ถวายพระแสงดาบเป็นราวเทียน  เพื่อเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา    เนื่องจากผู้เขียนได้ค้นคว้าเรื่องของพระพิมพ์พระโคนสมอที่มีการพบเมื่อคราวซ่อมแซมบูรณะพระราชวังบวรสถานมงคล  ในโอกาสครบรอบ 150 ปี  ของกรุงรัตนโกสินทร์  และได้กล่าวถึงพระราชประวัติของพระองค์ไว้ด้วย

               ปัจจุบันทางรัฐบาลได้หล่อรูปพระองค์ท่านในท่ายืนพนมมือ  ถือดาบเป็นพุทธบูชา  (พระราชวังบวรสถานมงคลก็ คือพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปัจจุบัน)



               คุณยายบุษบา  ศรีเมือง  อาศัยอยู่บ้านเลขที่  140 หมู่ 12  ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์  เล่าให้ฟัง ว่า ดาบที่ท่านเก็บรักษาอยู่  มี  2  เล่ม  คือ ดาบตัวผู้และดาบตัวเมีย ดาบตัวผู้ใช้ประหาร    ส่วนดาบตัวเมียไม่ทราบ  (ลักษณะตัวผู้ยาวกว่าดาบตัวเมีย) เป็นดาบประจำตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ (ท่านที่ 9)  มีหอก  ด้ามยาว 1  เล่ม (ไว้ใช้รบบนหลังช้าง)  และมีดาบสั้น  1  ตัว เป็นดาบประจำตัวท่าน   คุณยายบอกว่า เดิมที ด้านทิศตะวันตกบ้านบกไปจดลำห้วยเหนือ  เป็นวังของเจ้าเมืองขุขันธ์ แต่ปัจจุบันเป็นที่มีเจ้าของครอบครองหมดแล้ว  ทิศใต้ติดถนนไปบ้านแดง  มีต้นไทรที่ขึ้นจากยอดเสาโอบครอบเสาเอกของบ้านเจ้าเมืองปัจจุบันยังคงอยู่



ขอบพระคุณผู้เขียน
:
นายนพคุณ  ภักดีทวนทองและนายเผด็จ  ศรีเมือง,2547.

โรงฝิ่นเมืองขุขันธ์

         การเล่าเรื่องเมืองขุขันธ์ในอดีต  ถ้าหากขาดการเล่าถึงโรงฝิ่นของเมืองขุขันธ์แล้วก็คงจะไม่สมบูรณ์  เท่าใดนัก  สมัยก่อนโรงฝิ่นใช่จะมีแต่ในกรุงเทพมหานคร  หรือเมืองหลวงเท่านั้น  แม้ตามหัวเมืองต่าง ๆ ก็มีโรงฝิ่นหรือสถานที่สูบฝิ่นเช่นเดียวกัน ฝิ่นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด



        ก่อนที่จะเขียนถึงโรงฝิ่นเมืองขุขันธ์  จะขอนำพระประวัติพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  ที่เกี่ยวข้องกับโรงฝิ่นมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน  ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับฝิ่นควบคู่กันด้วย   พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  หรือพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์  พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  รัชกาลที่ 5  พระองค์เคยเสด็จสืบราชการลับในโรงฝิ่น  พระองค์ทรงปลอมเป็นราษฎรสามัญเสด็จไปตามโรงยาฝิ่น  โรงขายสุรา  โรงบ่อนต่าง ๆ แถวย่านนางเลิ้ง  ในเวลากลางคืน  โดยมีมหาดเล็กติดตามไปด้วย  บางครั้งก็เสด็จเพียงลำพังพระองค์เดียว  บางคืนก็เสด็จไปบรรทมคุยกันกับพวกสูบฝิ่นในโรงฝิ่น

          ต่อมามีเจ้าพี่เจ้าน้องในราชวงศ์จักรีไปฟ้องเสด็จพ่อว่า พระองค์ประพฤติตนเป็นคนเลว  นอนโรงยาฝิ่นกินตามถนน  ทำให้เสื่อมเสียตระกูลราชวงศ์จักรี  เมื่อในหลวงทรงทราบก็ฟังหูไว้หู  ต่อมาในหลวงทรงปลอมพระองค์เป็นราษฎร  เสด็จไปรถม้าพระที่นั่งเล็ก ๆ ไปจอดอยู่แถวบ่อนต้นมะขามย่านนางเลิ้ง  แล้วเสด็จไปตรวจตามโรงยาฝิ่นพระโรงสุรา  พอถึงหน้าโรงยาฝิ่น  เจ้าพ่อก็เสด็จออกมาพบพอดีพร้อมกับนายเล่ผู้ติดตาม  ในหลวงรับสั่งให้เจ้าพ่อตามไปที่รถม้า  พอไปถึงในหลวงขึ้นไปประทับแล้ว  เจ้าพ่อก็กราบลงที่ฝ่าบาท  ในหลวงก็เทศนาว่าต่าง ๆ ให้เจ้าพ่อฟัง  เมื่อจบแล้วเจ้าพ่อกราบทูลว่าในการที่ลูกปลอมแปลงตัวไปนอนตามโรงยาฝิ่นและเที่ยวไปตามตรอกถนนต่าง ๆ ในเวลากลางคืนนั้น  ก็เพื่อจะสืบความลับของราษฎรว่า  ใครคิดร้ายต่อพ่อและคิดขบถต่อบ้านเมือง  กับลักขโมยปล้นกันที่ไหน  เมื่อทราบก็จัดการปราบปรามขึ้นทันที  ราษฎรและบ้านเมืองจะได้อยู่เย็นเป็นสุข  ที่ต้องทนลำบากตรากตรำก็ด้วยเหตุนี้  เมื่อในหลวงทรงทราบความจริงต่าง ๆ ก็เสด็จกลับ   รุ่งขึ้นทรงรับสั่งให้เจ้าพ่อเข้าเฝ้าได้พระราชทานสร้างสังวาลย์ฝังเพชร 1 สาย  แล้วเจ้าพ่อก็เอานายเล่(นายเรือตรีเล่)ไปประเทศจีนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฝิ่น  และฝิ่นก็มีอิทธิพลต่อประเทศจีนมิใช่น้อย  เรื่องของฝิ่นทำให้จีนต้องทำสงคราบกับต่างประเทศจนเกือบจะสิ้นชาติแล้ว

          สงครามฝิ่น  ( OPIUM WAR )  สงครามระหว่างประเทศอังกฤษกับจีนเกิดขึ้นก่อนปี ค.ศ. 1842 (พ.ศ. 2385) สาเหตุเพราะข้าหลวงศุลกากรคนใหม่ของจีนประจำเมืองกวางตุ้ง  ได้สั่งเผาโรงเก็บสินค้าฝิ่นของพ่อค้าชาวอังกฤษ  เมื่อพ่อค้าชาวอังกฤษจะเข้าไปปฏิบัติงานในโรงค้าตามเดิมก็ถูกทหารชาวจีนยิงเสียชีวิต  ทหารจีนได้ใช้เรือสำเภารบกับกองทหารเรืออังกฤษ  ซึ่งจอดอยู่ที่น่านน้ำท่าเรือกวางตุ้ง  ทหารเรืออังกฤษและรัฐบาลอังกฤษได้รบกับทหารจีนจนถึงปี ค.ศ. 1842 (พ.ศ. 2385) โดยจีนเป็นผู้แพ้สงคราม  และในสงครามครั้งนี้จีนต้องยอมยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษ  ยอมให้อังกฤษตั้งศาลกงศุลในประเทศจีน  ค.ศ.1483 (พ.ศ. 2386)  และยอมเปิดเมืองท่าทางจีนใต้  เพื่อให้ชาวยุโรปเข้ามาทำการค้าขายได้อีก 5 แห่ง  คือ  กวางตุ้ง  เอมอย  ฟูเจา  มิงโป  และเซียงไฮ้ 


          สำหรับฝิ่นเข้ามีบทบาทในเมืองขุขันธ์เมื่อใดนั้นไม่อาจทราบได้  ฝิ่นเกิดขึ้นที่เมืองขุขันธ์พร้อมกับชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ที่เมืองขุขันธ์ ประมาณปี พ.ศ. 2410 (ยุคที่ชาวจีน โดยเฉพาะจีนแต้จิ๋วอพยพเข้ามาเมืองไทยมากที่สุด คือหลังปี พ.ศ.2310  ในยุคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงครองราชย์ ทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว มีพระราชบิดาเป็นชาวแต้จิ๋วชื่อ แต้ย้ง หรือต๋า ส่วนพระราชมารดาเป็นคนไทยชื่อนกเอี้ยง ทำให้คนทั้ง 2 ชาติไปมาหาสู่กันมากเป็นพิเศษ  จนมีเรื่องบอกเล่ากันว่าเมื่อคราวที่พระเจ้าตากสิน ออกสู้รบเพื่อกอบกู้เอกราชให้กับชาติไทย ชาวเมืองแต้จิ๋วได้เรี่ยไรเงินนำมาใช้ต่อเรือ เพื่อเป็นพาหนะในการกอบกู้เอกราชให้กับชาติไทยในสมัยนั้นด้วย)

         โรงสูบฝิ่นเมืองขุขันธ์ในอดีต ตั้งอยู่มุมสี่แยกทางทิศตะวันออกตรงข้ามด่านตรวจสัตว์เก่า(ปัจจุบันคือสำนักงานปศุสัตว์อำเภอขุขันธ์)  ซึ่งมีต้นยางใหญ่เป็นสัญลักษณ์  หรืออยู่ฝั่งทางทิศใต้ตรงข้ามร้านเจริญชัยในปัจจุบันนี้  สี่แยกทางจะไปวัดไทยเทพนิมิตร  เป็นบ้านไม้สองชั้นทุก  วันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว เนื่องจากถูกเอกชนรื้อถอนซากอาคารออกไปหมดสิ้นแล้ว เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2558  คงเหลือไว้แต่ภาพถ่ายร่องรอยแห่งอดีตที่เคยมีให้ได้ทรงจำจำนวน 2 ภาพในหน้าเวปไซต์นี้เท่านั้น  สมัยก่อนรัฐบาลเปิดให้สูบฝิ่นได้  ยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบ  จึงมีโรงฝิ่นเกิดขึ้นทุก ๆ หัวเมืองที่มีคนจีนอาศัย  ไม่เฉพาะคนจีนเท่านั้นที่นิยมสูบฝิ่น  แม้แต่คนไทยเจ้าของประเทศก็นิยมสูบเช่นเดียวกัน

พิกัด GPSบน Google Map​ ของโรงฝิ่นเมืองขุขันธ์ในอดีต คือ 14.714381, 104.194057 
หรือ 14°42'51.8"N 104°11'38.6"E

         เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กพอจำความได้  ในตอนกลางคืนเคยติดตามปู่ผู้เขียนเข้าไปโรงฝิ่นด้วย  พอขึ้นไปชั้นบนของอาคารก็เห็นคนนอนสูบฝิ่นอยู่โดยใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าซจุดให้ความสว่าง  และกลิ่นควันของฝิ่นก็คละคลุ้งไปหมดในอาคารชั้นบน  คนที่ไปไม่ได้สูบฝิ่นกันหมดทุกคน  บางคนก็ไปเล่นไพ่  บางคนก็จับกลุ่มนั่งคุยกัน  คงเป็นสถานที่พบปะพูดคุยของชาวจีนมากกว่า  เพราะหัวเมืองเล็ก ๆ ไม่มีซ่องโสเภณี หรือสถานบันเทิงต่าง ๆ เหมือนในเมืองใหญ่  และคงเป็นสถานที่พูดคุยตกลงธุรกิจการค้าของพวกพ่อค้าอีกด้วย

          สำหรับอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นนั้น  เท่าที่ผู้เขียนได้รับฟังมา  ถ้าเป็นราชสำนักจีน  กระบอกสูบจะทำและตกแต่งด้วยวัสดุที่มีค่า  เช่น  ทองคำ  หรือประดับด้วยอัญมณีต่าง ๆ ตามฐานะ  สำหรับกระบอกสูบฝิ่นโดยทั่วไปเท่าที่ผู้เขียนเคยพบเห็น  ทำด้วยกระปุกสังคโลกต่อด้ามด้วยไม้ไผ่  คล้าย ๆ กระบอกสูบกัญชา  เมื่อสูบแล้วก็จะทำให้เกิดความเคลิบเคลิ้ม  ใฝ่ฝัน  และจินตนาการในเรื่องต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาไม่ได้สูบก็จะทำให้หงุดหงิด  คลุ้มคลั่ง  อารมณ์ไม่ดี  ชาวเขานิยมสูบกันมาก่อนออกไปทำงาน  ด้วยเชื่อว่าสามารถป้องกันไข้และอาการเจ็บป่วยทั้งปวง  ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นยาเสพติดนั่นเอง

         เมื่อ 7 – 8 ปีที่ผ่านมา  ผู้เขียนเคยไปเที่ยวช่องจอม  ด่านชายแดนไทย – กัมพูชา  ได้พบกระบอกสูบฝิ่นที่ร้านขายของเก่า  แขวนขายมากมาย  ทำลวดลายวิจิตรพิสดารสวยงามมาก  สอบถามคนขายได้รับคำตอบว่านำมาจากประเทศเวียดนาม  ราคาตกอันละ 1,500 – 3,500 บาท  แล้วแต่      ฝีมือและวัสดุที่นำมาตกแต่ง  ถ้ามีไว้ในครอบครองเข้าใจว่าคงผิดกฎหมายเพราะเป็นอุปกรณ์ในการเสพ

          ต่อมาในสมัยจอมพลสฤษ  ธนรัตน์  เป็นนายกรัฐมนตรี  ได้สั่งให้เลิกสูบฝิ่น  แต่ก็ยังมีผู้ลักลอบสูบอยู่ตลอดมา   หลังจากนั้นรัฐบาลประกาศให้ฝิ่นเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายแล้วโรงฝิ่นก็ถูกปิด  ชาวจีนที่เคยใช้โรงฝิ่นเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์  พูดคุยก็เงียบเหงาเบาบางลง  ญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียน (ยังมีชีวิตอยู่)  ได้เล่าให้ฟังว่าเวลาสูบฝิ่นควันของฝิ่นจะลอยไปติดเพดานด้านบน  ซึ่งมีจิ้งจกเกาะอยู่ตามเพดานและได้กลิ่นของฝิ่นอยู่เป็นประจำ  หลังจากไม่มีคนสูบ  และไม่มีควันฝิ่นให้จิ้งจกดมแล้วสัตว์เหล่านั้นก็จะตกลงมาตายหมด  จะเท็จจริงอย่างไรผู้เรียนได้รับฟังมาเท่านั้น
ปัจจุบันโรงฝิ่นยังตั้งเด่นให้เห็นอยู่  คนที่รู้เรื่องราวของโรงฝิ่นคงมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป  ฝิ่นได้หมดสิ้นไปจากสังคมคนสูบแล้ว  มีแต่ยาบ้า  ยาอี  ยาเสพติดชนิดเม็ดสีต่าง ๆ เข้ามาแทนที่

          ขณะที่เขียนเรื่องราวในอดีตนี้  พ.ต.ท.  ดร.ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  ได้ประกาศทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทย  ผู้เขียนเองขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจ  ให้ท่านมีชัยชนะในการทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดครั้งนี้  เพื่อที่อนาคตของเยาวชนบางคน  บางกลุ่มของชาติจะได้ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติดอีกต่อไป

ขอบพระคุณผู้เขียน :

นายนพคุณ  ภักดีทวนทอง(เถลิง ศรีสุภาพ),2547.

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เสือยง หรือ ตังเคายง ขุนโจรแห่งเมืองศรีสะเกษ

             ปี พ.ศ. 2437  ซึ่งตรงกับเมืองศรีสะเกษที่มีเจ้าเมืองชื่อ พระวิเศษภักดี (ท้าวโท)  ซึ่งเป็นเจ้าเมืองศรีสะเกษท่านที่ 4 ซึ่งตรงกับสมัยเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 9  อำมาตย์ตรี พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา หรือ ปัญญา  ขุขันธิน) โดยมีคณะอาญาสิทธิ์ ผู้ปกครองเมืองขุขันธ์ ในขณะนั้นประกอบด้วย
              1.  ท้าวปัญญา หรือ ปัญญา  ขุขันธิน  ซึ่งมีบรรดาศักดิ์ในราชทินนาม  อำมาตย์ตรี  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์  
              2.  ท้าวทองคำ  มีบรรดาศักดิ์ราชทินนาม  พระสุนทรบริรักษ์  ตำแหน่งปลัด เมืองขุขันธ์  
              3.  ท้าวบุญมี  หรือ  บุญมี  ขุขันธิน  มีบรรดาศักดิ์ ราชทินนาม  หลวงสุรัตนามัย  ดำรงตำแหน่งยกบัตรเมืองขุขันธ์ (ต่อมาได้เป็นนายอำเภอขุขันธ์  เป็นท่านแรก)
              4.  ท้าวบุญมี มีบรรดาศักดิ์ราชทินนาม  พระพิไชย  ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองขุขันธ์
  
             ทั้งนี้แม้อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองอยู่ที่เจ้าเมืองขุขันธ์ก็จริงแต่ในยุคสมัยนั้น ยังมีตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการประจำเมืองขุขันธ์อยู่ด้วย คือ พระยาบำรุงบุรประจันต์จางวาง   (จันดี หรือ จันดี  กาญจนเสริม)  กำกับดูแลเมืองขุขันธ์และเมืองบริเวณ   ตลอดจนกองนอก มีอำนาจปกครองที่สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งด้วย

             สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับเสือยง ขุนโจรแห่งเมืองศรีสะเกษนั้น ได้มีการเล่าขานสืบต่อกันมาว่า “เสือยง” เป็นขุนโจรแห่งเมืองศรีสะเกษ หรืออีกนามหนึ่งที่ชาวขุขันธ์ รู้จักกันโดยทั่วไปในยุคนั้น คือ “ตังเคายง”  เป็นหลานของพระวิเศษภักดี (ท้าวโท)  เจ้าเมืองศรีสะเกษ  เคยรับราชการ แต่ถูกให้ออกจากราชการ จึงได้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรียนเวทย์มนต์คาถาอาคมทางไสยศาสตร์จากอาจารย์ ในเขตพื้นที่เมืองขุขันธ์ ทั้งอาจารย์ที่เป็นพระภิกษุ ทั้งอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ต่างก็ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้เสือยงอย่างเต็มภูมิ  เนื่องจากเห็นว่าเสือยงเป็นบุตรหลาน เจ้าเมืองศรีสะเกษ  อาจารย์ที่พอจะกล่าวถึงก็มี  ตาเถื่อน  บ้านเจ็ก หลวงทิพย์โภชน์ บ้านสะอาง เป็นต้น เมื่อมีเวทย์มนต์คาถาแก่กล้าแล้วก็ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าโจรซ่องสุม ผู้คนมีบริวารมากมาย มีช้าง ม้า  เป็นพาหนะออกปล้นฆ่า จนถูกจับในคดีฆ่าคนตาย  ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต โดยส่งไปจำคุกอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี  แต่จำคุกได้ไม่นานก็ได้ใช้วิชาเวทย์มนต์ทางไสยศาสตร์สามารถรูดโซ่แหกคุกหนีออกมาจากเมืองอุบลได้แล้วก็มารวบรวมสมัครพรรคพวกออกปล้นฆ่าชาวบ้านอย่างหนักขึ้นกว่าเดิม สร้างความเกรงกลัวให้กับชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ของเมืองศรีสะเกษและเจ้าหน้าที่จากเมืองอุบลต้องร่วมมือช่วยกันปราบปรามแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งและจับเสือยงได้ ทำให้เสือยงและสมุนเหิมเกริมหนักขึ้นออกปล้นจี้แย่งชิงเอาทรัพย์สิน ชาวบ้านในท้องที่เมืองศรีสะเกษไม่พอ  ยังได้ออกกระทำการในหมู่ชาวบ้านในเขตแดนเมืองขุขันธ์อีกด้วย ซึ่งยากที่จะปราบได้ เจ้าเมืองศรีสะเกษ จึงได้มีหนังสือถึงอำมาตย์ตรี พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ( ท้าวปาน หรือ ปัญญา  ขุขันธิน)  เจ้าเมืองขุขันธ์ในขณะนั้นให้ช่วยปราบเสือยง  เพราะเจ้าเมืองศรีสะเกษทราบดีว่าผู้ที่มีวิชาอาคมเก่งกล้าเหนือกว่าพอที่จะต่อกรกับเสือยงได้ คงไม่มีใครนอกจากเจ้าเมืองขุขันธ์ เมื่อมีการร้องขอ  เจ้าเมืองขุขันธ์  จึงตอบรับที่จะช่วยเพราะเสือยงปล้นฆ่าข้าม  เข้ามาในเขตแดนเมืองขุขันธ์เช่นกัน โดยเจ้าเมืองขุขันธ์ได้เชิญเหล่าบรรดาพระอาจารย์จากเมือง ขุขันธ์ช่วยอีกแรงหนึ่ง เพราะเจ้าเมืองขุขันธ์ก็พอทราบกิตติศัพท์ความเก่งกล้าทางวิชาอาคมของเสือยงเป็นอย่างดี แต่จำเป็นต้องปราบให้ได้ เพื่อความไม่ประมาท เจ้าเมืองขุขันธ์ได้เชิญอาจารย์ทางไสยศาสตร์ของเมืองขุขันธ์ รวมทั้งอาจารย์ที่เสือยงเคยเป็นศิษย์ด้วย โดยได้กระทำกรรมพิธี  คัดเรียกวิชาอาคมออกจากร่างของเสือยงเป็นเวลา 7 วัน 7  คืน  เมื่อเหล่าอาจารย์ผู้ร่วมกรรมพิธีมีความแน่ใจแล้วว่าวิชาอาคมถูกคัดออกจากร่างเสือยงจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าเมืองขุขันธ์จึงให้อาจารย์หาฤกษ์ยามเพื่อออกไปปราบเสือยงทันที
  
             โดยเจ้าเมืองขุขันธ์  อำมาตย์ตรี พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 9 (ท้าวปัญญา) ได้ใช้ช้างเป็นพาหนะ ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธในการออกไปปราบเสือยงในครั้งนี้  โดยมีการแต่งช้างศึกที่มีการผูกเครื่องรางของขลัง ประเจียด ตะกรุด  พิสมรที่คอช้าง  เมื่อได้เวลาอันเป็นฤกษ์ยามดีแล้ว  เจ้าเมืองขุขันธ์ก็ได้นำคณะออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่สู่เขตเมืองศรีสะเกษทันที โดยที่เจ้าเมืองขุขันธ์ ได้ทราบข่าวจากชาวบ้านว่า กลุ่มเสือยงกำลังออกปล้นชาวบ้านอยู่พอดี จึงสั่งให้คณะได้เร่งเดินทาง เพื่อให้ทันเหตุการณ์ ในที่สุดกองกำลังเจ้าเมืองขุขันธ์ เดินทางเข้าเขตแดนเมืองศรีสะเกษก็ได้เกิดการเผชิญหน้ากับกองโจรเสือยง ณ ทางทิศตะวันตกของบ้านดวนใหญ่  ในเวลาพลบค่ำใกล้จะมืดพอดี ( ปัจจุบันเป็นที่ตั้งอำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ )  เจ้าเมืองขุขันธ์ได้ร้องบอกให้  เสือยงมอบตัว โทษหนักก็จะได้เบาลง แต่เสือยงไม่ฟังเสียงได้สั่งสมุนโจรยิงเข้าใส่พระยาขุขันธ์ฯ ทันที เสียงปืนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณแถบนั้นเป็นเวลาไม่นานนักเสียงปืนก็เงียบสงบลง  โดยที่ฝ่ายเจ้าเมืองขุขันธ์และกำลังพลไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและอันตรายใด ๆ  เลย

             เมื่อเสียงปืนจากกลุ่มโจรเสือยงสงบลงแล้ว พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 9  จึงร้องบอกเสือยงอีกครั้งว่า  ยิงพอแล้วหรือยัง  ถ้ายิงพอแล้วก็ให้มอบตัว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบจากกลุ่มเสือยง พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวนเกรงว่าเสือยง จะหลบหนีไปได้ จึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนคู่กายชื่อ ปืนคาบศิลายิงใส่เสือยง  พร้อมทั้งสั่งกองกำลังระดมยิงอาวุธใส่กลุ่มเสือยงทันที พอสิ้นเสียงปืนคาบศิลาของพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวนแล้ว ร่างของเสือยงก็ร่วงตกจากคอช้างเสียชีวิตทันที ทำให้สมุนโจรของเสือยงที่ยังมีรอดชีวิตอยู่ตกตะลึงแตกตื่นวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศละทางอย่างไม่คิดชีวิต เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เรื่องราวและความโหดร้ายของเสือยงผู้มากด้วยเวทย์มนต์คาถาอาคมขลังแห่งเมืองศรีสะเกษ  ต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือ  เจ้าเมืองขุขันธ์  อำมาตย์ตรี  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา  ขุขันธิน)  เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 9 นี้เอง และได้นำศพเสือยงไปมอบให้เจ้าเมืองศรีสะเกษ  ตัดศรีษะแล้วแห่ประจานรอบเมืองและเสียบประจาน ณ สี่แยกไปเมืองขุขันธ์

             ดังนั้น  เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านนี้ที่มีบารมีและสร้างคุณงามความดีให้แก่ชาวขุขันธ์ โดยเฉพาะท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ในการสร้างวัดกลางมาในอดีตอีกทั้งเป็นผู้ปราบเสือยงได้ โดยเมื่อพระครูโสภิตธรรมขันธ์ (หลวงตาเอี้ยง) เป็นเจ้าอาวาสวัดกลาง (อัมรินทราวาส)  ท่านได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น (หลังที่เห็นในปัจจุบัน) ท่านจึงได้ให้ปั้นรูปหุ่น อำมาตย์ตรี  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา หรือ ปัญญา  ขุขันธิน)  เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 9       ในท่านั่งบนหลังช้างถือปืนคาบศิลาขนาดเท่าตัวจริง ที่คอช้าง ผูกเครื่องรางของขลัง โดยหุ่นปั้น  ได้ตั้งอยู่ ณ หน้าอุโบสถหลังใหม่  แต่ฝีมือในการปั้นไม่ค่อยจะเหมือนตัวจริงและไม่ประณีตนัก  แต่รูปปั้นนี้กลับมีคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์อย่างยิ่งสำหรับลูกหลานชาวเมืองขุขันธ์  

             อนึ่ง วัดกลางนี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2429 โดยขณะนั้น พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา หรือ ปัญญา ขุขันธิน ) เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์  โดยการสนับสนุนของพระยารัตนโกศา (จันดี)  ปลัดเมืองขุขันธ์  (พ่อตา) พร้อมทั้งกรมการเมืองและราษฎรได้พร้อมใจกันและให้ถือเป็นวัดประจำเมือง เป็นที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาแทนวัดจันทร์นคร (วัดบก) จึงทำให้วัดกลางอัมรินทราวาสนี้  เป็นวัดใหญ่และเจริญรุ่งเรืองตราบเท่าทุกวันนี้

ขอบพระคุณผู้เรียบเรียง : นายนพคุณ  ภักดีทวนทอง และนายนิติภูมิ ขุขันธิน(2547) 


บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ก่อนที่จะยกฐานะมาเป็นเมืองขุขันธ์ อยู่ที่ไหน?

          จากการชำระประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ  ได้มีการเสนอหลักฐานทางโบราณคดี หลักฐานทางนิรุกติศาสตร์  และหลักฐานทางสังคมขึ้นมาใหม่  เพื่อประกอบการศึกษาหาข้อเท็จจริงว่า “ปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนแท้จริงอยู่ที่ไหน?”  ได้มีการหยิบยกและวิพากษ์เป็นแนวทางเพื่อการศึกษาและเผชิญการสืบค้นตามหลักวิชาการทางประวัติศาสตร์  อันจะนำเข้าสู่วิวัฒนาการทางการศึกษาแบบรอบด้าน     หลักฐานนำเสนอใหม่ที่มีความขัดแย้งที่น่าสนใจ “นำสู่การเผชิญการสืบค้นและศึกษา” อาศัยหลักวิชาการทางประวัติศาสตร์ โดยยึดแนวทาง คือ
                    1.  หลักทางนิรุกติศาสตร์
                    2.  หลักทางโบราณคดี
                    3. หลักทางวัฒนธรรมประเพณี
                    4.  หลักทางสังคมและมานุษยวิทยา

          จากการสืบค้นแล้วพบหลักฐานทางโบราณคดีที่ยังมิได้ศึกษา  ปรากฏว่า  ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือหนองแตระ (ภูมิบ้านเจ็ก) ระยะทางประมาณ 1,500 เมตร ที่ริมฝั่งลำห้วยเหนือ ที่ GPSบนGoogle Map : 14.727566, 104.195525 หรือที่พิกัด14°43'39.2"N 104°11'43.9"E  มีปราสาทซึ่งเป็นเทวสถานโบราณ  รูปร่างสัณฐานประสาทโดยรวม เป็นลักษณะสี่เหลี่ยม ด้านในกว้าง 5 x 5 เมตร สร้างจากหินทรายและศิลาแลง ส่วนด้านนอกเป็นกำแพงศิลาแลง  แต่ถูกทำลายลงเพราะถูกขุดหาวัตถุโบราณ ทำให้ปราสาทได้รับความเสียหายและศิลาแลงตกกระจัดกระจาย  ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีหินทรายและศิลาแลงปรากฏยังคงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง

พิกัดที่ตั้งของปราสาทสี่เหลียมโบราณ(ตวลตวาย หรือ กัลตวลตวาย หรือ โตลศวาย)ที่สร้างจากหินทรายและศิลาแลง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ GPSบนGoogle Map : 14.727566, 104.195525 หรือที่พิกัด  14°43'39.2"N 104°11'43.9"E 
สภาพโดยทั่วไปของปราสาทสี่เหลียมโบราณ(ตวลตวาย หรือ กัลตวลตวาย หรือ โตลศวาย)ที่สร้างจากหินทรายและศิลาแลง
(ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560 โดยนายสุเพียร  คำวงศ์ )
ก้อนหินศิลาแลงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่บริเวณปราสาทโบราณแห่งนี้
ก้อนหินทรายและศิลาแลงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่บริเวณใจกลางปราสาท
คันคูน้ำที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ด้านที่เหนือของตัวประสาท
         และที่ปราสาทแห่งนี้เอง ก็ยังพบฐานโยนีทำด้วยหินทราย(ฐานโยนี : คือฐานที่สร้างขึ้น หรือเป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศหญิง ซึ่งรองรับศิวลึงค์ เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีรูปของพระอุมาพระผู้เป็นพลัง(ศักติ) และเป็นชายาของศิวะ(พระอิศวร)อยู่ในผังรูปทรงสี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยม  สันนิษฐานว่า ปราสาทโบราณแห่งนี้ น่าจะสร้างพร้อมปราสาทสระกำแพงน้อย ที่อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เพราะเป็นศิลาแลงคล้ายคลึงกันมาก
ฐานโยนี ที่เคยตั้งอยู่ที่ปราสาทปราสาทสี่เหลียมโบราณ(ตวลตวาย หรือ กัลตวลตวาย หรือ โตลศวาย)ที่สร้างจากหินทรายและศิลาแลง  ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดเจ็กโพธิพฤกษ์อำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ

          ฐานโยนี สร้างขึ้นมาเพื่อบูชาเทพเจ้าตามลัทธิศาสนาพราห์ม(ฮินดู)ในอดีต  รอบตัวปราสาท มีคันคูน้ำล้อมรอบขนาดใหญ่ลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขวางตะวัน และพื้นที่ของหนองสะอางทั้งหมดเป็นบารายเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ของชุมชนเมืองโบราญยุคนั้น  ซึ่งเมื่อก่อนปี พ.ศ. 2500 ปราสาทโบราณแห่งนี้ ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก สภาพป่าโดยรอบตัวปราสาทรกมาก ทำผู้คนไม่กล้าเข้าไปใกล้  เพราะมีความศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ต่อมาประมาณปลายปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา มีการลักขุดวัตถุโบราณเพื่อนำไปขายต่อให้ต่างชาติ  ทำให้ปราสาทแห่งนี้ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมลงมาก  ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงในยุคนั้นก็ต่างพากันไปขนเอาหินทรายมาทำหันลับมีดเพื่อใช้ในครัวเรือน และต่อมาเจ้าของที่นาใกล้ ๆ ก็บุกเข้าไปทำนา จนกลายสภาพโล่งเตียน  แต่ก็ยังคงมีร่องรอยหลักฐานความเป็นปราสาทหินโบราณปรากฏอยู่ให้เห็นได้ถึงปัจจุบัน
สภาพที่นาบริวณใกล้ๆปราสาทสี่เหลียมโบราณ ถูกไถจนโล่งเตียนมากในปัจจุบัน
(ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560 โดยนายสุเพียร  คำวงศ์ )
           และห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทโบราณ เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร มีภูมิบ้านเก่าในภาษากวยเรียกว่า "กัลตวลตะวาย"ในภาษาเขมร เรียกว่า “ภูมิตวลตวาย” (ตวล ออกเสียงว่า ​/tuəl/ เป็นคำภาษาเขมร แปลว่า เนิน หรือที่ดอน , ตวาย เป็นคำที่ปู่ย่าตายายในอดีตออกเสียงเพี้ยนมาจากคำภาษาเขมรโบราณว่า ศวฺาย ออกเสียงว่า /svaay/​ เป็นคำภาษาเขมรแปลว่า มะม่วง เพราะมองอักษร ศ โบราณในจารึกโบราณ โดยเข้าใจผิดว่าเป็นตัว ต ที่ได้จารึกไว้ในแผ่นหิน(ปัจจุบันหายไปแล้ว)ว่า

อ่านว่า ภูมิโตลศวาย ซึ่งเมื่อเราแปลรวมความก็จะได้ว่า "ดอนมะม่วง" นั่นเอง ) ตั้งอยู่ริมร่องน้ำแขนงห้วยเหนือ ที่แยกจากห้วยเหนือบริเวณบ้านบก (ผ่านสะพานตาอุ่น บ้านแทรง) ไหลผ่านภูมิบ้านเก่านี้ และไหลลงห้วยเหนือ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเส้นทางพายเรือของหลวงปราบ(พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ท่านที่ 2 หรือเชียงขันธ์)ในอดีต เพื่อไปหานางคำเวียงที่บ้านบกได้ง่าย ซึ่งมีระยะทางโดยประมาณ 3 กิโลเมตร


ข้อสันนิษฐานจากหลักฐานโบราณคดี
               "ภูมิตวลตวาย"(ภาษาเขมร) หรือ "กัลตวลตะวาย"(ภาษากวย) หรือ ภูมิโตลศวาย(ตามจารึกบนแผ่นหินที่มีผู้เคยพบ)จึงน่าจะเป็น บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน เป็นภูมิบ้านเก่าแก่ เคยพบอิฐและหินโบราณอยู่ลักษณะเป็นเนินสูงตั้งอยู่ริมร่องน้ำเล็กๆแขนงลำห้วยเหนือ มีพื้นที่ของหนองสะอางทั้งหมดเป็นบารายเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ของชุมชนเมืองโบราญยุคนั้น และมีพื้นที่กว้างใหญ่สามารถตั้งเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ได้ เดิมบริเวณเมืองขุขันธ์เต็มไปด้วยป่าลำดวน ชาวบ้านมักใช้ไม้ลำดวนมากรองทำเป็นหญ้าคา ใช้มุงหลังคาบ้านเรือน ตอนหลังลำดวนลดน้อยลงเกือบสูญพันธุ์ แต่ยังคงปรากฏมีอยู่ในป่าวัดบ้านสะอางบ้างเล็กน้อย ทุกวันนี้ ภูมิตวลตวาย กลายสภาพเป็นที่ทำนาและสวนของชาวบ้านเจ๊กอยู่หลายครอบครัว 


เหตุผลสำคัญที่มีความขัดแย้งทางวิชาการ       

      
1. เมืองขุขันธ์ดั้งเดิมประกอบด้วยชนชาติพันธ์เขมรเป็นหลัก รองลงมาเป็นชนชาติพันธุ์กวย  ชาวบ้านในสมัยพระยาขุขันธ์ในยุคต้น ๆ ล้วนใช้ภาษาเขมรในการสื่อสาร  และมีจารีตประเพณีละเอียดอ่อนแบบเขมรโบราณ และได้สืบทอดติดต่อกันมาถึงทุกวันนี้เป็นระยะเวลากว่า 250 ปี(นับจาก พ.ศ.2302) ภาษาเขมรยังคงไม่สูญหายไปจากเมืองขุขันธ์  แม้ทุกวันนี้จะมีภาษาที่สองเข้ามาเป็นจำนวนมากก็ตาม  จึงเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่า เมืองขุขันธ์ หรือบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนในอดีต น่าจะอยู่ในบริเวณ “ภูมิตวลตาวาย” มิได้ย้ายมาจาก “บ้านดวนใหญ่” ตามที่นักประวัติศาสตร์บางท่านสรุป  เพราะบ้านดวนใหญ่มีแต่คนลาว  ไม่มีคุ้มใดในละแวกใกล้เคียงใช้ภาษาเขมรอยู่เลย  แม้โดยทั่วไปบ้านดวนใหญ่มีลักษณะคล้ายเป็นเมืองเก่าที่สมบูรณ์ ตั้งอยู่ริมห้วยคล้า(ไม่น่ากันดารน้ำ) สันนิษฐานได้ว่า “บ้านดวนใหญ่” น่าจะเป็นเมืองเก่าของชาวลาวที่อพยพเข้ามาจากจำปาศักดิ์  หรือเวียงจันทร์ในตอนปลายกรุงธนบุรีและตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์     และประการสำคัญคือ  “บ้านดวนใหญ่” ไม่มีปราสาทเก่าแก่อยู่ในย่านนั้นเลย  นอกจากสระน้ำที่ดูคล้ายว่าจะมีมาแต่โบราณ และมีลักษณะคล้ายคูเมืองสองชั้นแบบเมืองโบราณเท่านั้นเอง

         2. เหตุผลด้านการครองเรือนของหลวงปราบ (พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ท่านที่ 2 หรือเชียงขันธ์)  คือ ในปี 2319 หลวงปราบ ได้ร่วมทัพไปทำสงครามเวียงจันทน์ ได้รับชัยชนะ  และเมื่อกลับมาได้หญิงหม้ายชาวลาวผู้สูงศักดิ์มาเป็นภรรยา   ชื่อนางคำเวียง และมีลูกติดแม่ชื่อ “ท้าวบุญจันทร์” มาด้วย  ครั้นมาถึงเมืองขุขันธ์  ก็ได้นำภรรยาชาวลาวไปไว้ที่บ้านบก (ปัจจุบันคือคุ้มในวัง บ้านบก  มีต้นโพธิ์ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ และมีวัดที่ตั้งขึ้นโดยคนลาวกลุ่มนี้ชือว่าวัดบกจันทนคร เป็นอนุสรณ์ของชาวเวียงจันทน์) และขณะนั้นยังไม่ได้ย้ายเมือง  เพราะพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน(ตากะจะ) ท่านยังคงมีชีวิตอยู่  ดังนั้น ข้อสันนิษฐาน การที่หลวงปราบได้ภรรยาใหม่มา โดยธรรมชาติน่าจะซ่อนภรรยาไว้ไม่ห่างไกลจากบ้านนัก หากว่าตัวเองยังอยู่ที่บ้านดวนใหญ่ ให้ภรรยามาอยู่บ้านบกซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 30 กิโลเมตร ต้องเดินทางข้ามวันข้ามคืนจึงจะมาหาภรรยาได้ แต่ถ้ามีบ้านอยู่ที่ “ภูมิตวลตาวาย” ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านบก โดยประมาณ 3 กิโลเมตรนั้น ก็จะสามารถมาหาภรรยาใหม่ได้ง่าย จึงเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากกว่า ซึ่งถ้ากล้าวกันตรงๆแล้ว "บ้านบก" ในอดีต กับ"บ้านดวนใหญ่" ไม่มีสายใยญาติผูกพันกันเลยจริงๆ

         3. สภาพเมืองขุขันธ์ โดยทั่วไปมีคูเมืองและแหล่งน้ำล้อมรอบ ด้านตะวันตกจะเป็นลำห้วยเหนือซึ่งมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ด้านตะวันออกจะเป็นหนองแตระและหนองสะอาง ซึ่งเป็นหนองขนาดใหญ่เหมาะแก่การตั้งเมือง

          4. มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ปรากฎมากมายในเมืองขุขันธ์  เช่น หลวงพ่อโต วัดเขียน ซึ่งเกิดก่อนตั้งเมืองขุขันธ์ วัดไทยเทพนิมิตร เคยเป็นที่พักกองทัพไทยคราวศึกสงคราม และปราสาทกุด วัดเจ๊ก หรือ ปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนโบราณที่สร้างด้วยอิฐ ที่วัดเจ็ก 
ปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนโบราณที่สร้างด้วยอิฐ  ตั้งอยู่ ณ วัดเจ็กโพธิพฤกษ์
อำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ
        5. มีหลักฐานและแหล่งเลี้ยงช้างของพระยาขุขันธ์หลายแห่ง เช่นที่บ้านจันลม บ้านพะเยียวตาสุ และป่าบ้านแทรง มีผู้เลี้ยงช้างของพระยาขุขันธ์ เคยได้อาศัยอยู่ที่นั่น เป็นต้น

เหตุผลการย้ายเมือง

           ชัยภูมิที่ตั้งเมืองเดิมไม่เหมาะสม  มีแหล่งน้ำขนาดเล็กตื้นเขิน เพราะเป็นเพียงร่องน้ำ(แขนงของห้วยเหนือ)  และค่ายคูเมืองไม่เหมาะแก่การตั้งเมืองใหญ่  เลื่อนออกมาตั้งเมืองใหม่ที่บริเวณใกล้ๆปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนโบราณที่สร้างด้วยอิฐ ของภูมิบ้านเจ็กในอดีต (ชื่อบ้านเจ๊กนี้เรียกขึ้นภายหลัง) ถึงบ้านภูมิ  ซึ่งมีชัยภูมิเป็นเนินสูง ตั้งอยู่ริมหนองแตระซึ่งเป็นหนองขนาดใหญ่  อยู่ห่างจากที่ตั้งเดิมประมาณ 2,500 เมตร โดยเป็นการย้ายข้ามจากฝั่งทิศตะวันตกของลำห้วยเหนือมาอยู่ด้านฝั่งทิศตะวันออก  และเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง  คือ เจ้าเมืองคนเดิมคือ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) ถึงแก่อนิจกรรมลง จึงเลื่อนที่ตั้งเมืองใหม่มาตั้งในที่เหมาะสมกว่า  

สภาวัฒนธรรมเมืองขุขันธ์ ขอกราบขอบพระคุณผู้ให้ความร่วมมือด้านข้อมูลในการสืบค้น ดังนี้
    1.  นายเผด็จ  เจริญศรีเมือง 
ข้าราชการบำนาญ อายุ 63 ปี
    2. นายชุบ  จันทรชิต  ข้าราชการบำนาญ 
        ที่ปรึกษาเทศบาลตำบลห้วยเหนือ อายุ 70 ปี
    3. นายนุช  ไชยโพธิ์  
อดีตผู้ใหญ่บ้านเจ็ก อายุ 80 ปี
    4. นายขวัญชัย  ไชยโพธิ์  อดีต ผอ.ร.ร.นิคม 4 
        ชาวบ้านเจ็ก อายุ 54 ปี
    5. พระภิกษุตึ๋ง เจริญศรีเมือง
 วัดบ้านเจ็ก  อายุ 60 ปี
    6. พระแก้ว  ศรีสุพรรณ พุทธสถานที่พักสงฆ์พิหารภูมิตราง
ตรวจ/ทาน : นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ,26 มีนาคม 2560.

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย