-->
ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ศาสนาพุทธ์เป็นศาสนาประจำชาติ ?

พ.ศ. 2528 กระทู้ถามที่ ๔๐๗ ของ นายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง การส่งเสริมศาสนาพุทธ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมและการปกครอง และคำตอบ(16 ตุลาคม 2528) ตรงกับสมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
            "...รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งประชาชนคนไทยกว่าร้อยละ ๙๐ นับถือว่าศาสนาเป็นสถาบันสุงสุดสถาบันหนึ่ง ซึ่งส่งเสริมความมั่นคงของชาติ ได้สร้างคุณธรรมและเอกลักษณ์อันดีงามให้แก่คนไทยและเป็นพลังที่สำคัญที่จะช่วยแก้ไขบัญหาสังคมในต้านต่างๆ รวมทั้งพัฒนาสังคมให้มีความสงบสุขและเจริญก้าวหน้า..." คลิก

พ.ศ. 2539 กระทู้ถาม เรื่อง การป้องกันพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติไทย มิให้มัวหมองและถูกบ่อนทำลายจากกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันตั้งพุทธสถานโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ของ นายดุสิต ศิริวรรณ สมาชิกวุฒิสภา(17 กันยายน 2539) ตรงกับสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี คลิก

พ.ศ. 2553 กระทู้ถามที่ ๘๘๕ ร. เรื่อง ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ [ของ นายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร] ตรงกับสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
               "...ขอเรียนว่า รัฐบาลได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓ ซึ่งบัญญัติว่า รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านานและศาสนาอื่น ทั้งต้องส่งเสริมความเข้าใจอันดี และความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต
       รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะส่งเสริมพระพุทธศาสนาในฐานะที่ประชาขนส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน ส่วนการส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจทำให้ผู้นับถือศาสนาต่างกันมองว่า รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ขนบธรรมนี่ยมประเพณีไทย สามารถกำหนดนโยบายในการสนับสนุนส่งเสริม ตามภารกิจอยู่แล้ว จึงได้สนับสนุนส่งเสริมให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการทำนุบำรุงส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ดูแล รักษา และพัฒนาพระพุทธศาสนา จัดการศาสนสมบัติ พัฒนาพุทรมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้การสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทางพระพุทธศาสนาให้นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาพัฒนาคุณภาพชีวิดอย่างยั่งยืน..."(2 กรกฎาคม 2553)
 คลิก

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ประเทศไทยเรา มีกฏหมายที่ใช้กับการทะเบียนราษฎร เริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2452

นับแต่ปี พ.ศ. 2452 เป็นต้นมา ประเทศไทยเรามีกฏหมายที่ใช้กับการทะเบียนราษฎร ดังนี้

1. พระราชบัญญัติสำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) คลิก

2. กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการทำสำมะโนครัวในมณฑลกรุงเทพฯลงวันที่ 17 กรกฎาคม ร.ศ. 128 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติสำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ. 128 มาตรา ๑ ข้อ ๑ คลิก

3. กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการจดทะเบียนคนเกิด คนตาย ลงวันที่13 สิงหาคม ร.ศ.128 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติสำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ. 128 มาตรา ๑ ข้อ ๒ คลิก

4. กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการจดทะเบียนคนย้ายตำบลในมณฑลกรุงเทพฯ ลงวันที่ 13 สิงหาคม ร.ศ.128 ซึ่งออกตามความในกฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการทำสำมะโนครัวในมณฑลกรุงเทพฯลงวันที่ 17 กรกฎาคม ร.ศ. 128  คลิก

5. กฏการจดทะเบียนคนเกิด คนตายหัวเมือง พุทธศักราช 2459 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติทำบาญชีคนในพระราชอาณาจักร รศ๑๒๘ มาตรา ๓ คลิก

6. พระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัว และการจดทะเบียนคน เกิด คนตาย คนย้ายตำบล พุทธศักราช 2460 ซึ่งตราขึ้นโดยดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่รับสั่งว่า “การทำบาญชีสำมโนครัวที่ได้เริ่มทำตามพระราชบัญญัติสำหรับทำบาญชีคนในพระราชอาณาจักร รศ. ๑๒๘ นั้น ต่อมาได้มีการแก้ไขการเกิดการตายการย้ายเป็นลำดับมา ถึงเวลานี้จำนวนพลเมืองและรายการต่างๆย่อมคลาดเคลื่อนไปจากจำนวนที่เป็นจริงได้มาก สมควรจะวางระเบียบการตรวจสอบสำมโนครัวขึ้นไว้เพื่อจะได้แก้ไขบาญชีให้ถูกต้องใกล้กับควมเป็นจริงไว้เสมอ อีกประการหนึ่งการจดทะเบียนคนเกิด คนตาย คนย้ายตำบล ซึ่งเป็นหลักฐานในการแก้ไขบาญชีสำมโนครัวให้ถูกต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงนั้น ก็ยังหาได้มีบัญญัติเป็นหลักฐานไม่” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น  คลิก

7. กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลประกอบพระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด คนตาย คนย้ายตำบล พ.ศ. 2460 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัว และการจดทะเบียนคน เกิด คนตาย คนย้ายตำบล พุทธศักราช 2460 มาตรา ๒๑ คลิก

8. พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช 2479 ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อจัดการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล โดยมีผลเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติสำหรับทำบาญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ.๑๒๘ พระราชบัญญัติการตรวจสอบสำมโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด คนตาย คนย้ายตำบล พ.ศ. ๒๔๖๐ กับกฎและข้อบังคับอื่นๆซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินั้นด้วย คลิก

9. พระราชบัญญัติการสำรวจสำมะโนครัว พุทธศักราช 2479 ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยจัดการสำรวจสำมะโนครัวทั่วราชอาณาจักรใน พ.ศ. ๒๔๘๐ คลิก

10. กฏกระทรวงมหาดไทย ออกตามความใน พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ.2479 ซึ่งออกตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อจัดตั้งสำนักทะเบียนท้องถิ่น คลิก

11. พระราชบัญญัติการสำรวจสำมะโนครัว พ.ศ. 2490 ซึ่งตราขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยจัดการสำรวจสำมะโนครัวทั่วราชอาณาจักร ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ คลิก

12. กฏกระทรวงมหาดไทยออกตามความใน พระราชบัญญัติการสำรวจ สำมะโนครัว พ.ศ.2490 ซึ่งตราขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน เพื่อกำหนดตัวผู้ได้รับมอบหมาย ผู้มีหน้าที่ให้ข้อมูล รูปแบบ วิธีการ ในการสำมะโนครัวให้เป็นไปในทางเดียวกันทั่วราชอาณาจักร คลิก

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

อำเภอเมือง จังหวัดขุขันธ์ มีสถานะเป็นอำเภอเมือง ระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 - 24 เมษายน พ.ศ.2460 นับระยะเวลาได้เพียง 11 เดือน 5 วัน

          สถานะของอำเภอเมือง จังหวัดขุขันธ์ ที่ถูกย้ายเฉพาะศาลากลางเมืองขุขันธ์ จากที่ตั้งเดิม(อำเภอเมืองขุขันธ์) ไปตั้งบริเวณศาลากลางเมืองศีร์ษะเกษ เมื่อปลายปี พ.ศ. 2450 แต่ยังคงใช้ชื่อ ศาลากลางเมืองขุขันธ์  ส่วนพื้นที่อำเภอเมืองขุขันธ์ยังอยู่ที่ตั้งเดิม  ทำให้อำเภอเมือง จังหวัดขุขันธ์ มีสถานะเป็นอำเภอเมือง  ระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 - 24 เมษายน พ.ศ.2460 นับระยะเวลาได้เพียง 11 เดือน 5 วัน หากเราพิจารณาดูตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ประกาศเรื่องเปลี่ยนชื่ออำเภอ  เล่ม ๓๔ หน้า ๔๐ และหน้า ๖๓ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๖๐  ซึ่งลงนามโดยมหาเสวกเอก เจ้าพระยาสุรสีห์ วิสิษฐศักดิ์ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  ประกาศมา ณ วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐  ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้เป็นที่สะดวกในทางราชการและเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแห่งประชุมชนทั่วไปว่าอำเภอใดคงเรียกตามชื่อเดิม อำเภอใดเปลี่ยนชื่อเรียกตามนามตำบล  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประกาศชื่ออำเภอ ทั้งที่คงชื่อเดิมและเปลี่ยนชื่อใหม่ ดังบัญชีท้ายประกาศนี้ใช้เป็นระเบียบในราชการสืบไป  

             อำเภอเมือง               เป็น อำเภอห้วยเหนือ
             อำเภอเมืองศีร์ษะเกษ  เป็น อำเภอศีร์ษะเกษ
             อำเภอราษีไสล        เป็น อำเภอคง
             อำเภอกันทรารักษ์   เป็น อำเภอน้ำอ้อม
             กิ่งบัวบุณฑริก         เป็น กิ่งโพนงาม
             อำเภออุทุมพรพิสัย คงเรียก อำเภออุทุมพรพิสัย
             อำเภอกันทรารมย์   คงเรียก อำเภอกันทรารมย์
             อำเภอเดชอุดม       คงเรียก อำเภอเดชอุดม





             มาถึงสมัยปัจจุบันนี้  อำเภอเมือง จังหวัดขุขันธ์ (ระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 ก่อนวันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2460) หรืออำเภอห้วยเหนือ(ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2460-10 พฤศจิกายน พ.ศ.2481) จังหวัดขุขันธ์ ในอดีต ก็คือ อำเภอขุขันธ์ ณที่ตั้งเดิมในปัจจุบันนั่นเอง  ส่วนอำเภอศีร์ษะเกษ คือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ ปัจจุบัน , อำเภอคง คืออำเภอราษีไศล , อำเภอน้ำอ้อม คืออำเภอกันทรลักษ์  จังหวัดศรีสะเกษ , กิ่งโพนงามคืออำเภอบุณฑริก  จังหวัดอุบลราชธานี  ซึ่งติดเขตแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศ สปป.ลาว 
ปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนโบราณที่สร้างด้วยอิฐ ตั้งอยู่ ณ วัดเจ็กโพธิพฤกษ์
อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
             อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้คืออดีต  ที่ไม่มีวันหวนกลับ  แต่ขอให้ชาวจังหวัดศรีสะเกษ หรือ"เมืองขุขันธ์" "จังหวัดขุขันธ์" ในอดีต จงภาคภูมิใจที่บ้านเก่าเมืองแก่ของเราเป็นบ้านเมืองที่มีอารยธรรม  มีปราสาท  มีศิลาจารึกมีความเจริญต่อเนื่องมาอย่างไม่ขาดสาย  และมีพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่บรรพบุรุษของเราได้ก่อสร้างตัวเพื่อลูกหลายได้สืบทอดต่อๆกันมาจนถึงทุกวันนี้

เอกสารอ้างอิง : ราชกิจจานุเบกษา ประกาศเรื่องเปลี่ยนชื่ออำเภอ เล่ม ๓๔ หน้า ๔๐ และหน้า ๖๓ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๖๐
ขอบพระคุณผู้เรียบเรียง : 
- นายประดิษฐ  ศิลาบุตร,2547.
- ดร.ปริง เพชรล้วน,2547.
ตรวจทาน : นายสุเพียร  คำวงศ์ ,26 มีนาคม 2560.

เมืองขุขันธ์ เมื่อราวปี พ.ศ. 2452 อยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือของราชอาณาจักรสยาม

เมืองขุขันธ์ เมื่อราวปี พ.ศ. 2452 อยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ (MUNTON TAWAN OK CHIENG NUA)ของราชอาณาจักรสยาม ข้อมูลภาพจาก  แผนที่ของ ราชอาณาจักรของสยาม เมื่อราวปี ค.ศ. 1910 หรือราว พ.ศ. 2452 ซึ่งสำรวจและจัดทำขึ้นโดย กรมสำรวจสิงคโปร์ จากเวปไซต์หอจดหมายเหตุแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Archives of Singapore)

Reference :

Survey Department, Singapore.1910.Map Of The Kingdom Of Siam And Its Dependencies.http://www.nas.gov.sg/archivesonline/maps_building_plans/record-details/f9409256-115c-11e3-83d5-0050568939ad.
(accessed September 4, 2019 at 05.06 a.m.).

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562

การกำหนดวันจัดงานเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตาของอำเภอขุขันธ์ ปี 2562

การนับช่วงเวลาแบบจันทรคติ และแบบสุริยคติ

         ในการนับช่วงเวลาที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นการนับช่วงเวลาแบบกว้าง ๆ ไม่ได้มีการระบุเจาะจงเวลาที่แน่นอน แต่การนับช่วงเวลาแบบจันทรคติ และแบบสุริยคติ เป็นการนับช่วงเวลาที่มีการระบุเจาะจงเวลา

1. การนับช่วงเวลาแบบจันทรคติ เป็นการนับช่วงเวลาโดยยึดการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก ซึ่งเมื่อดวงจันทร์รอบโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ข้างขึ้นข้างแรม วันทางจันทรคติจึงเรียกว่า วันขึ้น วันแรม โดยดูจากลักษณะของดวงจันทร์

    ข้างขึ้น คือ ช่วงเวลาตั้งแต่หลังจากดวงจันทร์มืดสนิท และค่อย ๆ มองเห็นดวงจันทร์สว่างขึ้น จนกระทั่งมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวง ซึ่งกินเวลาทั้งหมด 15 วัน โดยนับตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ
    ข้างแรม คือ ช่วงเวลาตั้งแต่หลังจากดวงจันทร์เต็มดวง และค่อย ๆ มองเห็นดวงจันทร์มืดลง จนกระทั่งมองเห็นดวงจันทร์มืดจนหมดดวง ซึ่งกินเวลาทั้งหมด 15 วัน โดยนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ ไปจนถึงวันแรม 15 ค่ำ

     ส่วนการนับเดือนตามจันทรคติ จะเรียกชื่อเดือนแบบง่าย ๆ ดังนี้ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เดือนยี่ (เดือนสอง) เดือนสาม เดือนสี่ เรื่อยไป จนถึงเดือนสิบสอง
      การนับช่วงเวลาแบบจันทรคติ เป็นการนับช่วงเวลาในสมัยก่อนของประเทศไทย(ก่อนวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2385 (ปลายสมัย รัชกาลที่ 3) ซึ่งจะพบได้ในการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เช่น
ครั้นถึง ณ วันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ อัฐศก พม่าก็ยกทัพเข้าตีค่ายใหญ่บ้านบางระจันแตก ฆ่าคนเสียเป็นอันมาก บรรดาครอบครัวชายหญิงเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งคงเหลือตายอยู่นั้นให้กวาดเอาไปสิ้น ตั้งแต่รบกันมาห้าเดือนจนเสียค่ายนั้น ไทยตายประมาณพันเศษ พม่าตายประมาณสามพันเศษ (จาก สารานุกรม ประวัติศาสตร์ไทย ของ ส.พลายน้อย)

      การนับช่วงเวลาแบบจันทรคตินั้น ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีใช้กันอยู่ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และวันจัดงานบุญประเพณีของท้องถิ่น เช่น งานบุญประเพณีแซนโฎนตาของชาวอำเภอขุขันธ์ และชาวไทยแถบอีสานตอนใต้ ตรงกับวันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือนสิบของทุกปี ซึ่่งต้องดูในปฎิทินสุริยคติที่ทางการประกาศว่าจะตรงกับวันที่และเดือนใดของปี พ.ศ.นั้นๆ

2. การนับช่วงเวลาแบบสุริยคติ เป็นการนับช่วงเวลาโดยยึดการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 365 วัน หรือ 1 ปี และใน 1 ปี มี 12 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนธันวาคม  ซึ่งการนับช่วงเวลาแบบสุริยคติ เป็นการนับเวลาที่นิยมใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการนับเวลาที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น
      - วันขึ้นปีใหม่ของปี พ.ศ. 2561 ตรงกับวันจันทร์ที่ 1 มกราคม
      - ในปี พ.ศ. 2561  วันรัฐธรรมนูญ ตรงกับวันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม เป็นต้น

ประโชน์ของการเรียนรู้เกี่ยวกับการนับช่วงเวลาแบบจันทรคติ และแบบสุริยคติ
       การเรียนรู้เกี่ยวกับช่วงเวลามีประโยชน์อย่างมาก เพราะเราใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน ใช้ในการนัดหมายกัน และยังใช้ในการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์  และงานบุญประเพณีสำคัญในท้องถิ่นบ้านเรา ซึ่งในปฏิทินปัจจุบัน ก็จะบอกวันทางจันทรคติควบคู่กับวันทางสุริยคติ อยู่แล้ว

งานเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตา ปี 2562 ควรจัดให้มีขึ้นในช่วงวันที่ใดจึงจะเหมาสมที่สุด?
       สำหรับเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตาของชาวบ้านในอำเภอขุขันธ์ ปี 2562 นี้ นั้น วันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งชาวบ้านทุกครอบครัวจะมีการเซ่นไหว้และทำบุญใหญ่เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อดูตามปฏิทินปี 2562 แล้วจะพบว่าตรงกับวันที่ 27 - 28 กันยายน  2562 (วันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือนสิบ) ดังนั้น การจัดงานเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตาของอำเภอขุขันธ์จะต้องจัดให้มีขึ้นก่อนวันที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ทุกหลังคาเรือนในอำเภอขุขันธ์จัดทำพิธีฯกันที่บ้านเรือนของตน โดยปกติที่เคยปฏิบัติกันมาก่อนวันแรม 14-15 ค่ำ ประมาณ 3-4 วัน(ส่วนใหญ่ก็จะตรงกับวันแรม 10 - 12 ค่ำ เดือนสิบ) ดังนั้น ปีนี้ อำเภอขุขันธ์ จึงควรจัดให้มีงานเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตา ในระหว่างวันที่ 23 - 26 ตุลาคม 2562...จึงจะเป็นกาลเวลาที่เหมาะสม...ครับ
จุดมุ่งหมายสาคัญของเทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตา เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษและญาติที่ล่วงลับ(เปรต) ซึ่งเชื่อว่าได้รับการปล่อยตัวมาจากภูมินรกที่ตนต้องจองจำอยู่ เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยก่อไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากภูมินรกในทุกวันแรม 1 ค่า เดีอนสิบ เพื่อมายังโลกมนุษย์โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังภูมินรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ในที่สุด  
สรุปแล้ว ประตูนรกจะเปิดแรม 1 ค่ำเดือน 10 เพื่อให้โอกาสดวงวิญญาณของบรรพบุรุษและญาติที่ล่วงลับ(เปรต)มาหาลูกหลานเป็นเวลา 15 วัน และประตูนรกจะปิดวันแรม15 ค่ำ ช่วง15วันนี้จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

เรียบเรียง : นายสุเพียร  คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
ตรวจทาน :
- นายขวัญชัย ไชยโพธิ์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
- ดร.ปริง  เพชรล้วน  กรรมการเครือข่ายอนุรักษ์ภาษา ตำราและคัมภีร์ใบลาน อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2562

วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ หรือ วันอุโบสถ...ก็คือวันเดียวกัน

           วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ หรือ วันอุโบสถ หมายถึง วันประชุมของพุทธศาสนิกชนเพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนาประจำสัปดาห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปอีกคำหนึ่งว่า "วันธรรมสวนะ" อันได้แก่วันถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) โดยวันพระเป็นวันที่มีกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วัน ได้แก่ วันขึ้น ๘ ค่ำ, วันขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ), วันแรม ๘ ค่ำ และวันแรม ๑๕ ค่ำ (หากเดือนใดเป็นเดือนขาด ถือเอาวันแรม ๑๔ ค่ำ)

         วันพระนั้นเดิมเป็นธรรมเนียมของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ที่จะประชุมกันแสดงธรรมทุก ๆ วัน ๘ ค่ำ และ วัน ๑๕ ค่ำ ซึ่งในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังคงไม่ได้ทรงวางระเบียบในเรื่องนี้ไว้ ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลพระราชดำริของพระองค์ว่านักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการประชุมพระสงฆ์ในวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันดังกล่าว โดยตามพระไตรปิฎกเรียกวันพระว่า วันอุโบสถ (วัน ๘ ค่ำ) หรือวันลงอุโบสถ (วัน ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ) แล้วแต่กรณี

         หลังจากนั้น พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันธรรมสวนะสืบมา โดยจะเป็นวันสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะไปประชุมกันฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ที่วัด ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่าได้มีประเพณีวันพระมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

         วันพระในปัจจุบัน คงเหลือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แต่เฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา, พม่า, ไทย, ลาว และเขมร (ในอดีตประเทศเหล่านี้ถือวันพระเป็นวันหยุดราชการ) โดยพุทธศาสนิกชนเถรวาทนับถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่จะถือโอกาสไปวัดเพื่อทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และฟังพระธรรมเทศนา สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนาอาจถือศีลแปดหรือศีลอุโบสถในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใด ๆ โดยเชื่อกันว่าการทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปมากกว่าในวันอื่น

         ในประเทศไทย หลังจากวันพระได้ถูกยกเลิกไม่ให้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้วันพระที่กำหนดวันตามปฏิทินจันทรคติส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับปฏิทินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป (เช่น วันพระไปตรงกับวันทำงานปกติ) ซึ่งคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยห่างจากการเข้าวัดเพื่อทำบุญในวันพระ

         นอกจากนี้ ในประเทศไทยยังมีคำเรียกวันก่อนวันพระหนึ่งวันว่า วันโกน เพราะปกติในวันขึ้น ๑๔ ค่ำปกติ ก่อนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ในประเทศไทยที่จะโกนผมในวันนี้

การเตรียมตัวไปวัดเพื่อทำบุญ
          การเตรียมตัวไปวัดเพื่อทำบุญต้องเตรียมความพร้อม องค์ประกอบ 3 ประการ คือ

1. การเตรียมกาย
ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวเรียบ หรือสีที่ ไม่ฉูดฉาด ไม่หลวมไม่คับเกินไป เนื่องจากจะไม่คล่องตัว ไม่ประดับร่างกายด้วยเครื่องประดับ ไม่ใช้เครื่องประทินผิว เช่น น้ำหอม เป็นต้น รับประทานอาหารแต่พอดี ไม่อิ่มจน อึดอัด เพื่อประทังความหิว เนื่องจากหากมีอาการหิว กระหายจะทำให้จิตใจไม่สบายไปด้วย ควรงดเว้นอาหาร ที่อาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย เป็นต้น

2. การเตรียมใจ
ให้ตัดความวิตกกังวลที่จะเกิดขึ้น เช่น เรื่อง ครอบครัวเรื่องการงานเป็นต้น

3. การเตรียมสิ่งของ
ให้จัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเพื่อบูชาพระ อาหาร หวานคาว รวมถึงสิ่งของอื่น ๆ (ปัจจัยไทยธรรม) เพื่อไป ถวายพระสงฆ์ตามกำลังและความศรัทธา

ขั้นตอนในการปฏิบัติกิจกรรม
         การปฏิบัติกิจกรรมในการทำบุญของแต่ละวัด อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่หลักปฏิบัติโดยส่วนใหญ่แล้วทุกวัดจะปฏิบัติเหมือนกันคือ

1. การทำวัตรสวดมนต์ (พระสงฆ์จะทำวัตร สวดมนต์ก่อน เมื่อพระสงฆ์ทำวัตรสวดมนต์จบแล้ว อุบาสกอุบาสิกาจึงทำวัตรสวดมนต์ต่อจากพระสงฆ์ บางวัดอาจจะสวดมนต์แปล แต่บางวัดอาจจะสวดมนต์เป็นล้วน ๆไม่สวดแปลให้ทำตามธรรมเนียมของวัดนั้นๆ)

2. การรับศีล ในวันธรรมดาโดยทั่วไปจะสมาทานศีล 5 ในวันธรรมสวนะ (วันพระ) จะสมาทานอุโบสถศีลหรือศีลอุโบสถมี 8 ข้อ

3. การฟังธรรม

4. การบำเพ็ญจิตภาวนา

5. การถวายสังฆทาน

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เมืองขุขันธ์ ถูกจัดเข้าในกลุ่มหัวเมืองปักใต้ ในแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช(พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. 2106 - 2112)

        จากความตอนหนึ่งในหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด ซึ่งเนื้อหาเป็นเรื่องพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาได้(เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งแรก ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 เดือน ๙ พระยาจักรีให้สัญญาณแก่อาณาจักรตองอูเข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมือง ทำให้ทัพพม่าเข้ายึดพระนครสำเร็จ กรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรตองอู เป็นเวลานาน 15 ปี) ในแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช(พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. 2106 - 2112) และพรรณนาภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา ทำเนียบต่างๆ ตลอดจนราชประเพณี เชื่อกันว่าเป็นคำให้การของพระเจ้าอุทุมพรที่พระเจ้าอังวะโปรดให้สอบถามและจดไว้ กล่าวถึง ว่าด้วยตำแหน่งยศพระราราชาคณะฐานานุกรม
 
"...
มีหัวเมืองปักใต้ขึ้นเจ้าคณะฝ่ายขวา ๔๗ เมืองคือเมืองสุพรรณบุรี ๑ เมืองนครไชยศรี ๑ เมืองสาครบุรี ๑ เมืองนครนายก ๑ เมืองปราจิณบุรี ๑ เมืองฉะเชิงเทรา ๑ เมืองสมุทรสงคราม ๑ เมืองราชบุรี ๑ เมืองกาญจนบุรี ๑ เมืองศรีสวัสดิ์ ๑ เมืองไชยโยค ๑ เมืองสมุทรปราการ ๑ เมืองชลบุรี ๑ เมืองบางละมุง ๑ เมืองระยอง ๑ เมืองระแส ๑ เมืองตราด ๑ เมืองทุ่งใหญ่ ๑ เมืองจันทรบุรี ๑ เมืองเพ็ชรบุรี ๑ เมืองชะอำ ๑ เมืองกุย ๑ เมืองปราณ ๑ เมืองอุทุมพร ๑ เมืองสวี ๑ เมืองประทิว ๑ เมืองบางสน ๑ เมืองไชยา ๑ เมืองนครศรีธรรมราช ๑ เมืองสงขลา ๑ เมืองพัทลุง ๑ เมืองตะกั่วทุ่ง ๑ เมืองตะกั่วป่า ๑ เมืองถลาง ๑ เมืองตระ ๑ เมืองตะนาวศรี ๑ เมืองมฤท ๑ เมืองสิงขร ๑ หลังเมืองสวน ๑ กรุงกำภูชาธบดี ๑ เมืองจอมปะ ๑ เมืองโขง ๑ เมืองขุขันธ์ ๑ เมืองป่าดงยาว ๑ เมืองสังข์ ๑ เมืองสุรินทร์ ๑ เมืองนครพนม ๑ รวม ๔๗ เมืองขึ้นแก่คณะฝ่ายขวา ซึ่งเรียกว่าเจ้าคณะใต้นั้น ก็ได้พระราชาคณะฝ่ายคามวาสี..."
ภาพประกอบจากปกหนังสือ คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง 
พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๔
เอกสารอ้างอิง :
คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนพิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดพิมพ์

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

การจัดโต๊ะหมู่บูชา เป็นเอกลักษณ์ของชาติอย่างหนึ่ง

           การจัดโต๊ะหมู่บูชาเป็นเอกลักษณ์ของชาติอย่างหนึ่ง ได้ปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนซึมซับเป็นวัฒนธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีสงฆ์ ทั้งในพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีการทั่วไป วัตถุประสงค์ของการจัดโต๊ะหมู่บูชาเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพร้อมทั้งเครื่องบูชาสักการะตามคติของชาวพุทธ ซึ่งมีการจัดในรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่น ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ทรงคุณค่ายิ่ง สมควรได้รับการอนุรักษ์และสืบทอดให้ยั่งยืนต่อไป


การจัดโต๊ะหมู่บูชา
     โต๊ะหมู่บูชา คือ กลุ่มหรือชุดของโต๊ะที่ใช้ตั้งพระพุทธรูป หรือ
สิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะ เช่น พระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ หรือพระบรมรูปหล่อของพระมหากษัตริย์ พระฉายาลักษณ์ หรือพระสาทิสลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ หรือรูปของบรรพบุรุษ ประกอบด้วยเครื่องบูชา อันเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพอย่างสูงของผู้ที่สักการะ และเป็นการแสดงถึงความกตัญญูที่พึงมีต่อผู้มีอุปการคุณ  ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันดีงามที่มีคุณค่ายิ่งของสังคมไทย



ประวัติความเป็นมา
          ความเป็นมาเกี่ยวกับโต๊ะหมู่บูชานั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “อธิบายเครื่องบูชา” ได้ทรงกล่าวถึงม้าหมู่ไว้ดังนี้
          “เครื่องบูชาชนิดนี้ เป็นอย่างไทยแกมจีนนั้น เพราะความคิดที่จัดเครื่องบูชาเป็นความคิดไทย แต่กระบวนการที่จัดเอาอย่างมาจากที่จีนเขาจัดตั้งเครื่องแต่งเรือน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลายฮ่อ” ซึ่งจีนชอบเขียนฉาก และเขียนเป็นลายแจกันและเครื่องถ้วยชามอย่างอื่น จีนเรียกว่า“ลายปักโก๊” เป็นของที่ได้เห็นกันมาในประเทศนี้เห็นจะช้านานแล้ว แต่ตามเรื่องตำนานปรากฏว่า เมื่อในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสร้างสวนชวาที่ในพระบรมมหาราชวัง (ตรงบริเวณสวนศิวาลัยบัดนี้) ครั้งนั้น ประจวบเวลาราชทูตไทยออกไปเมืองปักกิ่ง ไปได้เครื่องตั้งแต่งเรือน
อย่างจีนเข้ามาจัดแต่งพระตำหนักที่ในสวนชวา เป็นเหตุให้เกิดนิยมกันขึ้น เป็นที่แรกว่า เป็นของงามน่าดูถึงไปผูกเป็นลายเขียนผนังโบสถ์ แต่คิดดัดแปลงไปให้เป็นเครื่องพุทธบูชา ยังมีปรากฏอยู่ทุกวันนี้ที่พระอุโบสถวัดราชโอรส ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างตั้งแต่ยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ อยู่ในรัชกาลที่ ๒ แล้ว เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต ต้นสกุล กัลยาณมิตร) เอาอย่างมาเขียนฝาผนังพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตร ซึ่งสร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้น เป็นต้น สันนิษฐานว่า แม้ในชั้นนั้นก็ยังไม่เกิดเครื่องบูชาอย่างม้าหมู่ มาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริโดยอนุโลมตามลายฮ่อ ซึ่งเขียนผนังโบสถ์ดังกล่าวมาแล้ว ให้สร้างม้าหมู่ขึ้นสำหรับตั้งเครื่องบูชาหน้าพระประธานในพระอุโบสถ
วัดพระเชตุพน เป็นม้าหมู่ใหญ่ ๑๑ ตัว และทรงพระราชดำริให้สร้างม้าหมู่ขนาดน้อย มีม้าสำหรับตั้งเครื่องบูชาหมู่ละ ๔ ตัว ตั้งประจำพระวิหารทิศสันนิษฐานว่า เครื่องบูชาอย่างม้าหมู่เกิดขึ้นด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งฉลองวัดพระเชตุพนเป็นเดิมแล้วผู้อื่นนิยมก็เอาแบบอย่างทำกันต่อมาจนทุกวันนี้


           เครื่องบูชาอย่างม้าหมู่ที่ใช้เวลามีการงาน ใช้เป็นที่ตั้งพระพุทธรูปประกอบเครื่องบูชา เช่น ในงานทำบุญเรือนเป็นต้น ก็มีใช้แต่เป็นอย่างเครื่องประดับ เช่น ตั้งที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่องานระดูหนาวเป็นต้นก็มี ถ้าใช้ตั้งพระพุทธรูปต้องถือว่า ที่ตั้งพระเป็นสำคัญ คือ จะตั้งอย่างไรให้เป็นสง่างาม เหลือที่ตั้งพระเท่าใด จึงจัดเครื่องบูชาเข้าประกอบ คือ เชิงเทียน และเครื่องปักดอกไม้เป็นต้น ถ้าตั้งม้าหมู่เครื่องบูชาเป็นอย่างเครื่องประดับ  โดยเฉพาะมีการประกวดกัน มีเครื่องกำหนดสำหรับการตัดสินว่า ดีหรือเลว
ด้วยหลักดังอธิบายต่อไปนี้ คือ

          ๑. ความสะอาดเป็นข้อสำคัญอย่างยิ่ง ถึงตัวม้าหมู่และเครื่องตั้งเครื่องประดับจะดีปานใด ถ้าปล่อยให้เปื้อนเปรอะสกกะปรก ก็อาจถูกตัดสินเป็นตกไม่ได้รางวัล เพราะเป็นความผิดของเจ้าของ


          ๒. ตัวม้าหมู่นั้นควรใช้ของทำประเทศนี้ ถ้ายิ่งฝีมือทำประณีต และความคิดประกอบม้าสูงต่ำให้ได้ทรวดทรงงามเพียงใด ก็นับว่าดีขึ้นเพียงนั้น  ม้าหมู่ที่ทำมาขายแต่เมืองจีนไม่นับเข้าองค์สำหรับตัดสินให้รางวัล เพราะเป็นของมีขายในท้องตลาดดาษดื่นนับด้วยร้อย หาวิเศษไม่


           ๓. เครื่องบูชาที่ตั้งบนม้าหมู่จะใช้เครื่องแก้วหรือเครื่องถ้วย
เครื่องโลหะหรือทำด้วยสิ่งอันใดก็ได้กำหนดเลือกว่า ดีนั้น คือ เป็นของหายากสามารถหาของประเภทเดียวกันได้หมด ยกตัวอย่าง ดังเช่นว่า ถ้าใช้เครื่องแก้วเจียระไน หนามขนุน ก็ให้เป็นเครื่องแก้วเจียระไน หนามขนุนทั้งสิ้น หรือใช้เครื่องแก้วแดง ก็ให้เป็นเครื่องแก้วแดงทั้งสิ้น ดังนี้เป็นตัวอย่าง สิ่งของที่ตั้งไม่ขัดกับเครื่องบูชา ยกตัวอย่างข้อห้ามดังเอาชามอ่างสำหรับล้างหน้ามาตั้ง หรือเอาคณฑีที่เขาทำสำหรับใส่สุรามาใช้ปักดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น นับว่าขัดกับเครื่องบูชาอย่างยิ่ง แต่กำหนดเหล่านี้มีการผันผ่อนให้บ้าง เช่น บางทีคุมของที่หายาก ยกตัวอย่าง ดังคุมเครื่องแก้วเจียระไนอย่างกะหลาป๋า หาเชิงเทียนแก้วอย่างนั้นไม่มี จะใช้อย่างอื่นแทนก็ไม่ติเตียน
เพราะพ้นวิสัยซึ่งจะหาได้ ถ้าว่าโดยย่อเครื่องตั้งม้าหมู่นั้น ถ้าเป็นของหายากและได้ครบทั้งชุดหรือโดยมากนับว่าดี


          ๔. กระบวนจัดตั้งของบนม้าหมู่เครื่องบูชานั้น ต้องจัดให้เห็นสง่างามแก่ตา คือ ได้ช่องไฟและแลเห็นของเล็กของใหญ่ได้ถนัด แม้ในเวลากลางคืนก็ให้แสงไฟเทียนที่จัดตั้ง อาจส่องกระจ่างทั่วทั้งหมู่ม้า จึงนับว่า ดี ยังของซึ่งจัดในเครื่องบูชามีดอกไม้เป็นต้น ยิ่งจัดให้ประณีตงดงามก็ยิ่งดี


         ๕. สิ่งของสำหรับจัดตั้งเครื่องบูชาม้าหมู่นั้นของที่เป็นหลักจะขาดไม่ได้ก็คือ เทียน ธูป ดอกไม้ ๓ อย่างนี้ นอกนั้นเห็นอันใดเป็นของสมควรดังเช่นผลไม้เป็นต้นจะใช้ด้วยก็ได้ แต่มีข้อห้ามตามตำราหลวงมิให้ใช้ดอกหรือผลไม้ ซึ่งสาธุชนมักรังเกียจกลิ่น ยกตัวอย่างดังเช่น ผลฝรั่ง ผลมะม่วงผลจันทน์ ที่สุกงอมนั้นเป็นต้น”*


         จากพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับเครื่องบูชาดังกล่าว ทำให้สันนิษฐานได้ว่า การจัดโต๊ะหมู่บูชา เริ่มมีมาแต่รัตนโกสินทร์ตอนต้น สืบเนื่องมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างม้าหมู่ขึ้นสำหรับตั้งเครื่องบูชาหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน ซึ่งเป็นม้าหมู่ขนาดใหญ่ และม้าหมู่ขนาดน้อย ที่ตั้งประจำวิหารทิศ แต่ยังไม่มีโต๊ะตัวล่างที่เป็นฐานรองรับม้าหมู่ ซึ่งเป็นการจัดแปลงโต๊ะเครื่องบูชาอย่างจีนมาเป็นอย่างไทย และต่อมามีผู้นิยมจัดโต๊ะเครื่องบูชาม้าหมู่เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และมีโต๊ะประกอบเป็นที่ตั้งเครื่องบูชา
ในการทำบุญโอกาสต่าง ๆ ของพระบรมวงศานุวงศ์ และของเจ้านายผู้ใหญ่ในสมัยนั้น 


           ในช่วงระยะเวลาที่ถือว่าได้มีการพัฒนาเกี่ยวกับโต๊ะหมู่บูชามากที่สุดยุคหนึ่ง ก็คือ ในการจัดพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ขอแรงพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าภาษี นายอากร พ่อค้า จัดโต๊ะเครื่องบูชาเข้าไปตั้งเป็นเครื่องประดับ จำนวน ๑๐๐ โต๊ะ ซึ่งเป็นปฐมเหตุที่ให้มีความนิยมในการประกวดโต๊ะเครื่องบูชา ดังนั้น ในการบำเพ็ญกุศลคล้ายวันประสูติของพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้านายผู้ใหญ่ หรืองานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของผู้มีบรรดาศักดิ์ มักจะมีการประกวดโต๊ะหมู่บูชาและการจัดเครื่องบูชา  เมื่อของผู้ใดดีก็จะมีรางวัลพระราชทานหรือมอบให้ เมื่อมีผู้นิยมในการประกวดม้าหมู่ ก็ย่อมมีการดูแลรักษาเครื่องบูชาให้คงอยู่ครบชุด มีการจัดแปลงในการสร้างม้าหมู่บูชาให้มีความวิจิตรสวยงาม อันเป็นการแสดงถึง
ภูมิปัญญาและฝีมือเชิงช่างของนายช่างไทย อันเป็นการพัฒนาการจัดสร้างโต๊ะหมู่บูชาของนายช่างไทย ดังที่ได้พระนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับข้อกำหนดการพิจารณาม้าหมู่หรือโต๊ะหมู่ของคณะผู้จัดการประกวดในสมัยนั้นข้อหนึ่ง  คือ “ตัวม้าหมู่นั้นควรใช้ของทำประเทศนี้ ถ้ายิ่งฝีมือการทำประณีต และความคิดประกอบม้าสูงต่ำให้ได้ทรวดทรงงดงาม ก็ยิ่งถือเป็นการทำด้วยการมีความคิดริเริ่มจัดแปลงให้สวยงามเหมาะสมได้สัดส่วน ผู้เป็นเจ้าของโต๊ะหมู่ชุดนั้นก็เป็นผู้สมแก่รางวัล” ที่เป็นดังนี้ก็เพราะต้องการส่งเสริมให้ช่างไม้ไทย ได้มีความคิดในการจัดแปลงและสร้างม้าหมู่อันเป็นการแสดงออกถึงศิลปะ
และฝีมือเชิงช่างของนายช่างไทยที่มีลักษณะอันอ่อนช้อยและสวยงามซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นวัฒนธรรมทางด้านศิลปะของสังคมไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ในการคิดลวดลายเป็นแบบเฉพาะของตนเอง ซึ่งต่อมามีการจัดสร้างโต๊ะตัวล่างเพื่อเป็นฐานสำหรับรองรับม้าหมู่เพื่อให้มีความสะดวกในการจัดตั้ง เนื่องจากเมื่อนำม้าหมู่ไปจัดตั้งในสถานที่ทำบุญบางแห่งซึ่งมีพื้นที่ไม่เสมอกัน ก็จะต้องจัดหาวัสดุมารองรับที่ฐานของม้าหมู่แต่ละตัวเพื่อให้มีความเสมอกันและสวยงามซึ่งทำได้ยาก เมื่อมีโต๊ะตัวล่างสำหรับตั้งเป็นฐานไว้รองรับกลุ่มโต๊ะหมู่หรือม้าหมู่แล้ว สามารถทำให้ตั้งโต๊ะหมู่ได้ง่าย เกิดความเด่นและมีความสวยงามเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการพัฒนาด้านความคิดในการจัดสร้างโต๊ะหมู่ของนายช่างไม้ของไทย


           การจัดโต๊ะหมู่บูชา ถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันสำคัญประการหนึ่งของสังคมไทย ซึ่งได้มีการปฏิบัติสืบทอดและสืบสานกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น พระราชประเพณี หรือพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือประเพณีต่าง ๆ ของสังคมไทย จึงได้มีการจัดโต๊ะหมู่บูชาในการประกอบพิธีต่าง ๆ อันเป็นการแสดงออกถึงการบูชาต่อสิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะอันสูงยิ่งตามที่บรรพบุรุษได้กระทำเป็นแบบอย่างไว้ด้วยความกตัญญูกตเวทีในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ


วัตถุประสงค์ของการจัดโต๊ะหมู่บูชา
           การจัดโต๊ะหมู่บูชา เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมทั้งตั้งเครื่องบูชาตามคตินิยมของชาวพุทธตามที่ปรากฏในพุทธประวัติว่า  เมื่อพุทธบริษัทมีความประสงค์จะบำเพ็ญกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด มักจะนิมนต์พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาเป็นประธานสงฆ์ในงานกุศลนั้น ๆ ดังนั้น เพื่อให้มีความสมบูรณ์ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ตามคตินิยมดังกล่าว ในการจัดงานที่เกี่ยวกับศาสนพิธีทางพระพุทธศาสนา  พุทธศาสนิกชนจึงนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานเป็นนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพิธีนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้มีพระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ พุทธศาสนิกชนจึงได้มีการตั้งโต๊ะหมู่บูชาและอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนโต๊ะหมู่บูชาโต๊ะสูงสุดแถวกลาง พร้อมทั้งตั้งเครื่องบูชาที่โต๊ะในลำดับที่รองลงมาตามความเหมาะสม ซึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) วัดราชผาติการาม ได้ให้ความหมายของ “รัตนะ” ว่า

          “เพราะพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสิ่งที่ควรกระทำความยำเกรงให้เกิดขึ้นแก่พุทธศาสนิกชน เพราะมีค่ามาก เพราะชั่งไม่ได้ เพราะเห็นได้ยาก  เพราะสั่งสมได้เฉพาะคนดี ถ้าไม่เคารพนับถือยำเกรงก็ไม่เป็นรัตนะ ถ้าทำมักง่ายกับพระรัตนตรัยก็ไม่เป็นรัตนตรัย ถ้าคนพาลคนชั่วนับถือก็ไม่เป็นรัตนะ”**

           ดังนั้น เพื่อให้เกิดความยำเกรงในพระรัตนตรัยดังกล่าว บรรพบุรุษของเราที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยแต่โบราณ จึงได้ปฏิบัติสืบกันมา  เมื่อมีพิธีการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นศาสนพิธีหรือการประกอบพิธีที่ต้องการความเป็นสิริมงคล ได้มีการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีการนั้น ๆ เป็นประเพณีสืบต่อกันมา  ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธี ทั้งงานพิธีทำบุญที่เป็นงานมงคลและงานอวมงคล ล้วนนิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อมีการอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐาน ควรจัดสถานที่ที่ประดิษฐานให้เหมาะสมและมีความสง่างาม บรรพบุรุษไทยจึงได้มีการพัฒนาและจัดแปลงจากม้าหมู่มาเป็นโต๊ะหมู่บูชาเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและให้มี
ความสวยงาม ซึ่งต่อมาการจัดโต๊ะหมู่บูชาถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติไทย และเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและแนวคิดในการแสดงออกถึงความเคารพสักการะต่อสิ่งอันเป็นที่เคารพนับถือแห่งตนของบรรพบุรุษไทย  ซึ่งลักษณะการตั้งโต๊ะหมู่นั้นได้พัฒนาจากการจัดตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ในงานพิธีทางพระพุทธศาสนา  ต่อมามีการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาเพื่อวัตถุประสงค์อื่น แต่ทั้งนี้ก็เป็นไปด้วยความเคารพสักการะในสิ่งที่นำมาประดิษฐานบนโต๊ะหมู่ทั้งสิ้น

ความสำคัญของโต๊ะหมู่บูชา***

           ปัจจุบันในพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธี   ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคลก็ตาม นิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งสิ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมเครื่องบูชาตามคตินิยมของชาวพุทธ ดังนั้น โต๊ะหมู่บูชาจึงมีความสำคัญในแง่ของการเสริมแรงศรัทธา  และสร้างความเชื่อมั่นของบุคคล ในหนังสือ “โต๊ะหมู่บูชา” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุทัศนีย์ บุญโญภาส จำแนกความสำคัญของโต๊ะหมู่บูชาไว้หลายประการ คือ
          ๑. เป็นสัญลักษณ์เตือนพุทธศาสนิกชน (ทั้งในกลุ่มของพระสงฆ์และฆราวาส) ให้มีจิตสำนึกและเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เนื่องจากการจัดโต๊ะหมู่บูชาที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต้องอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนโต๊ะหมู่ตรงกลางที่สูงที่สุด เสมือนหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ตลอดเวลาและเป็นประธานในพิธีด้วย เป็นการย้ำเตือนให้พุทธศาสนิกชนซาบซึ้งถึงพระปัญญาของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง


          ๒. เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการถวายความจงรักภักดี ความเคารพบูชาในพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ โต๊ะหมู่บูชาที่จัดตั้งเครื่องสักการบูชา ดังเช่น การจัดโต๊ะหมู่บูชาในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งบุคคลอันเป็นที่เคารพนับถือแห่งตน


          ๓. เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงวัฒนธรรมและประเพณีไทยที่มีมายาวนานไม่ว่าจะเป็นลวดลาย การแกะสลัก ลงรักปิดทอง และการฝังมุกของชุดโต๊ะหมู่บูชาเป็นลวดลายวิจิตรสวยงาม หรือการจัดตกแต่งพานพุ่มบูชา พระรัตนตรัย พานพุ่มเฉลิมพระเกียรติ และการจัดแจกันดอกไม้แบบไทยที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทย ศิลปะการประดิษฐ์ดอกไม้แบบไทย ซึ่งมีความประณีตงดงาม

การจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชา
           ในปัจจุบัน นิยมจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
              ๑. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีทางพระพุทธศาสนา
              ๒. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีถวายพระพร
              ๓. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือของพระราชทาน
              ๔. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในการรับเสด็จฯ หรือตามเส้นทางเสด็จฯ
              ๕. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีถวายสักการะเนื่องในวันสำคัญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
              ๖. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในการประชุมหรือสัมมนา
              ๗. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาเพื่อการประกวด


           อนึ่ง สำหรับการจัดสถานที่บูชาที่บ้าน จะเป็นการจัดสถานที่บูชาไม่เป็นพิธีการมากนัก แต่ควรจะมีสถานที่บูชาพระไว้ในบ้านในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งบางบ้านจะใช้สถานที่บูชาพระที่มีลักษณะเป็นหิ้งพระ (คือการใช้เหล็กหรือไม้ที่มีลักษณะมุมฉากติดกับฝาผนังและมีพื้นด้านบน แล้วนำพระพุทธรูปประดิษฐานไว้บนหิ้ง พร้อมด้วยเครื่องบูชาหลัก ได้แก่ ดอกไม้ ธูป และเทียน) แต่บ้านที่มีสถานที่กว้างพอก็ควรใช้โต๊ะหมู่บูชา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมด้วยเครื่องบูชา ชุดโต๊ะหมู่บูชาที่นิยมใช้ เป็นโต๊ะหมู่สำหรับบูชาพระในบ้าน คือ โต๊ะหมู่ ๕ และหมู่ ๗
           

            รายละเอียดเพิ่มเติม / ดาวน์โหลดคู่มือการจัดโต๊ะหมู่บูชา  คลิก

----------------------
*กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ. อธิบายเครื่องบูชา, อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพพระราชภัทราจาร (เปล่ง กุวโม), พิมพ์ที่ บริษัท จี.เอ. กราฟิค จำกัด, ๒๕๓๕.(๒๓-๒๕)


**สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร). หัวใจพระรัตนตรัย, สามัญสำนึก รำลึกพระคุณ,พิมพ์ที่ ห.จ.ก.รุ่งเรืองสาสน์, กรุงเทพมหานคร, ๒๕๒๘. (๒๘-๒๙)

***ประภาส แก้วสวรรค์. การจัดโต๊ะหมู่บูชา, กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิมพ์,โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, กรุงเทพมหานคร, ๒๕๕๑

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

ความหมาย ความสำคัญ ความเป็นมา พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

           เมื่อวันที่ 1 มกราคม​​ พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ชาวไทยได้รับข่าวดีอันเป็นมหามงคลรับปีใหม่ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 นับเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไทย และอาจจะเป็นเพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิตของหลายคนที่จะได้อยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ความหมาย : สถาปนากษัตริย์อย่างเป็นทางการ
            “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เป็นการประกอบพระราชพิธีสถาปนาพระมหากษัตริย์ หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์มาก่อนหน้านั้นแล้ว

             ดร.นนทพร อยู่มั่งมี อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เขียนไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 ว่า นามของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คำสำคัญ คือ “อภิเษก” และ “รดน้ำ” เดิมทีคำนี้มิได้หมายถึงการรดน้ำเฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน แต่มีความหมายเพียงการรดน้ำเท่านั้น แต่เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทยกลับมีการบัญญัติให้เป็นราชาศัพท์เฉพาะ

พิธีบรมราชาภิเษกอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ มีการกำหนดวาระและโอกาสไว้ 5 ประการ เรียก “ปัญจราชาภิเษก” ได้แก่

1.อินทราภิเษก หมายถึง การรดน้ำเพื่อเป็นพระอินทร์อันแสดงถึงสถานะของพระมหากษัตริย์ที่มีความยิ่งใหญ่ คือ พระราชาธิราช 4

2.โภดาภิเษก คือ ผู้ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเชื้อสายตระกูลพราหมณ์มหาศาล เป็นตระกูลมหาเศรษฐี มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ พร้อมทั้งมียศ มีบริวาร พรั่งพร้อม นอกจากนี้ ยังเป็นผู้รู้จักในราชธรรมตราชูธรรม และทศกุศล อันจะเป็นประโยชน์ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร

3.ปราบดาภิเษก คือ ผู้ที่อยู่ในตระกูลกษัตริย์ขัตติยราช มีฤทธิ์อำนาจและความสามารถในการสู้รบชนะข้าศึกศัตรูได้ครอบครองบ้านเมืองและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะกล้ำกรายหรือทำอันตรายได้ อย่างไรก็ดี คำว่าปราบดาภิเษกไม่ได้มีความหมายถึงการรบชนะผู้อื่นเพื่อขึ้นครองราชสมบัติเสมอไป แต่ยังหมายถึงการรดน้ำเพื่อขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับคำว่าราชาภิเษกอีกด้วย

4.ราชาภิเษก คือ การขึ้นเป็นกษัตริย์ของพระราชโอรส เมื่อพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระชราแล้ว บรรดาพระญาติพระวงศ์เห็นสมควรจะยกพระราชโอรสขึ้นเป็นกษัตริย์จึงให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้น

5.อภิเษกหรืออภิเสก คือ การที่พระราชบิดา พระราชมารดา หาหญิงที่มีตระกูลเสมอกันมาอภิเษกสมรสกับพระราชโอรส ซึ่งหญิงนั้นอาจจะมีเชื้อสายกษัตริย์ในแว่นแคว้นอื่น ๆ ที่มีวงศ์ตระกูลดี ซึ่งเป็นสวัสดิชาติ

           ส่วนจุลสารการจัดองค์ความรู้ สำนักพระราชวัง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไว้ว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือ พระราชพิธีที่แสดงความสมบูรณ์แห่งพระมหากษัตริย์ตามที่กําหนดในโบราณราชประเพณี เป็นแบบแผนอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

ความสำคัญ : ประกาศสถานภาพสูงสุดด้านการปกครองในราชอาณาจักร


                การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีความสำคัญด้วยนัยที่เป็นพระราชพิธีที่ประกอบขึ้นเพื่อประกาศสถานภาพความเป็นพระมหากษัตริย์ให้สาธารณชนได้ทราบโดยทั่วกัน ดังที่ ดร.นนทพร อยู่มั่งมี เขียนไว้ว่า การขึ้นครองราชสมบัติของพระมหากษัตริย์จำเป็นที่จะต้องมีการประกาศสถานภาพความเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ให้เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง และเหล่าราษฎรภายใต้พระราชอำนาจ และยังรวมถึงรัฐหรือเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้พระราชอำนาจ และยังรวมถึงรัฐหรือเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ขอบขัณฑสีมาได้รับทราบ ดังนั้นจึงมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งมีเนื้อหาอันแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจแห่งสถานภาพที่สูงสุดด้านการปกครองในราชอาณาจักร

ความเป็นมา : อิทธิพลจากอินเดียสู่ราชสำนักสยาม

          ดร.นนทพร อยู่มั่งมี เขียนไว้ว่า พิธีบรมราชาภิเษกในไทยสันนิษฐานว่ารับรูปแบบมาจากพิธีราชสูยะของอินเดีย ซึ่งมีการประกอบพิธี 3 อย่าง คือ การอภิเษกหรืออินทราภิเษก การกระทำสัตย์ และการถวายราชสมบัติ โดยจะประกอบพิธีขึ้นในพระราชมณเฑียร หรือท้องพระโรง

           ในพื้นที่ราชอาณาจักรไทย พบหลักฐานเบื้องต้นราวพุทธศตวรรษที่ 12 บริเวณจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงการอภิเษกเพื่อขึ้นครองราชสมบัติของเจ้าชายจิตรเสน เพื่อปกครองรัฐซึ่งสันนิษฐานว่าคืออาณาจักรเจินละ ซึ่งมีดินแดนส่วนหนึ่งอยู่ที่ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน

           การประกอบพระราชพิธีดังกล่าวยังปรากฏหลักฐานสืบเนื่องในอาณาจักรสุโขทัยเมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 สมัยพระยาลือไทยราช มีการมอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในการอภิเษก ได้แก่ มกุฎ หรือพระมหาพิชัยมงกุฎฉัตร และพระแสงขรรค์ชัยศรี

          จวบจนสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏหลักฐานถึงขั้นตอนการพระราชพิธีแบบย่นย่อในคำให้การชาวกรุงเก่าเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 โดยมีรายละเอียดและลำดับของพระราชพิธี ดังนี้

          1.เครื่องราชูปโภคที่ใช้ในพระราชพิธี เช่น ตั่งไม้มะเดื่อ พระที่นั่งภัทรบิฐ

          2.เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ได้แก่ พระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ พัดวาลวิชนี ธารพระกร และฉลองพระบาท

          3.การประกอบพระราชพิธี เช่น การเป่าสังข์ การตีกลองอินทเภรี และการประโคมเครื่องดุริยางค์

          4.ราชบัลลังก์ปูลาดด้วยหนังพระยาราชสีห์ ซึ่งต่อมาได้ใช้แผ่นทองคำเขียนรูปราชสีห์ด้วยชาดหรคุณแทน

          5.พระสุพรรณบัฏที่จารึกอันมีการประดับกรอบด้วยอัญมณี โดยประดิษฐานอยู่บนพานทอง

         6.การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตรา

         7.การสมโภชพระนคร

        8.เมื่อเสด็จการพระราชพิธีแล้วจะทรงสร้างพระพุทธรูป เงินพดด้วง งดเว้นไม่เก็บส่วยเงินอากร 3 ปี กับทั้งทรงปล่อยนักโทษด้วย

          ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จุลสารการจัดองค์ความรู้ สำนักพระราชวัง ให้ข้อมูลไว้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325 การเสด็จขึ้นครองราชย์ครั้งนั้น เรียกว่า ปราบดาภิเษก ถือว่า การพระราชพิธียังไม่สมบูรณ์ เมื่อทรงสร้างพระบรมมหาราชวัง รวบรวมรูปแบบการพระราชพิธี สร้างเครื่องราชกกุธภัณฑ์ พระมหาเศวตฉัตร เครื่องราชูปโภค และพระแสงอัษฎาวุธ สำหรับพระนครแล้ว พ.ศ. 2328 จึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อความสมบูรณ์แห่งพระมหากษัตริย์

          การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนั้น เป็นแบบแผนที่ถือปฏิบัติมาในรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ขั้นตอนสำคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ที่การสรงมรุธาภิเษก คือ ทรงรับน้ำอภิเษกโดยพระราชครูพราหมณ์ ด้วยเชื่อในคติว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพที่อุบัติมาเพื่อขจัดทุกข์เข็ญอาณาประชาราษฎร์ ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ให้มีความร่มเย็นและทรงบำรุงอาณาจักรให้เจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์

          รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีสัมพันธไมตรีกับประเทศยุโรป ทรงรับคติการวมพระมหาพิชัยมงกุฏในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างราชสำนักยุโรป นอกจากนั้น โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มพระราชพิธีสงฆ์ ดังนั้นน้ำอภิเษกจึงมีทั้งน้ำพระพุทธมนต์และน้ำพระเทพมนต์ และกำหนดให้มีการบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกประจำปี เรียกว่าวันฉัตรมงคล ถือปฏิบัติต่อมาในรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนการพระราชพิธีบ้าง ตามความเหมาะสมในแต่ละสมัย

          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างย่นย่อ ตัดทอนพิธีการหลายประการ คงไว้เฉพาะที่จำเป็น กำหนดการพระราชพิธี 3 วันคือ วันที่ 3-5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 การประกอบพระราชพิธีในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 นี้เอง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ที่เราชาวไทยได้ยินคุ้นหูมานานเกือบ 70 ปี

REFERENCE :
-ประชาชาติธุรกิจ.2562.ความหมาย ความสำคัญ ความเป็นมา พระราชพิธีบรมราชาภิเษก. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา https://www.prachachat.net/d-life/news-275179.(13 มกราคม 2562)

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

คำว่า "กำพงจาม" ที่ถูกต้องคือ "กำพงจำ" (พ.ศ. 2467/ ค.ศ.1924)

           ในตอนหนึ่งของพระราชนิพนธ์นิราศนครวัด ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. 2467/ค.ศ.1924 ความตอนหนึ่งในหน้า 100 พระองค์ท่านได้อธิบายถึงชื่อ กำปงจาม ความว่า  “...ที่แปลกันว่า “ท่าของพวกจาม” นั้นผิด พวกจามอยู่ข้างใต้ลงไปมาก หาได้มาเกี่ยวข้องถึงที่ตรงนี้ไม่ ที่ถูกต้องนั้นคือ “กำปงจำ” หมายความว่า ท่าเป็นที่หยุด (คำว่า จำ ในที่นี้หมายความตรงกับที่เราใช้ว่า เรือนจำ หรือ จำพระวัสสา)...


ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย