-->
ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วัดลำภู หรือ วัดอัมพนิวาสลำภู(พบในเอกสารเก่า) หรือ วัดลำภู รัมพนีวาส(ชื่อปัจจุบัน) ตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ


วัดลำภู หรือ วัดอัมพนิวาสลำภู(พบในเอกสารเก่า) หรือ วัดลำภู รัมพนีวาส(ชื่อปัจจุบัน)  เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งขึ้นก่อนเรื่องราวการกำเนิดเมืองขุขันธ์ (พ.ศ.2302) โดยได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2133 ราวๆสมัยกรุงศรีอยุธยา
            จากข้อมูลการสืบค้นล่าสุด โดยสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์  คำว่า "ลำภู" เพื้ยนมาจากคำภาษาเขมรท้องถิ่นเมืองขุขันธ์โบราณว่า លំពូ/ลม-ปู/ เป็นชื่อเรียกต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางชนิดหนึ่ง ชื่อสามัญ: Cork Tree ชื่อวิทยาศาสตร์: Sonneratia caseolaris (L.) Engl. ชื่อวงศ์: SONNERATIACEAE  ชื่อภาษาไทยเรียกว่า "ต้นลำพู" มักพบทั่วไปตามดินเลนริมแม่น้ำ หรือริมคลอง ที่มีระดับน้ำขึ้นน้ำลงท่วมถึง ขึ้นได้ทั้งในน้ำจืด และน้ำกร่อย  มีรากงอกขึ้นเหนือพื้นดิน ลำต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร ทรงพุ่ม กิ่งก้านห้อยย้อยลง ใบ เดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ขนานอย่างน้อย ๕ คู่ กว้าง ๐.๔ -๐.๖ เซนติเมตร ยาว ๐.๕-๑๑ เซนติเมตร รูปมนไข่ ปลายแหลม โคนใบสอบขอบเรียบ เนื้อหนาสีเขียวเป็นมัน ท้องใบสีอ่อน ดอก ออกเป็นช่อ ต้นลำพูในยามกลางคืนเป็นที่อาศัยของแมลงหิ่งห้อย สาเหตุที่หิ่งห้อยชอบเกาะบนต้นลำพู เนื่องจากต้นลำพูเป็นต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มใบหนา และมีใบขนาดเล็ก  ผิวเรียบ  ไม่มีขน  ทำให้ไม่ระคายเคืองต่อตัวหิ่งห้อย เหมาะสำหรับหิ่งห้อยที่โตเต็มวัยเกาะเพื่อผสมพันธุ์และเป็นที่ซึ่งเหมาะสำหรับตัวอ่อนอยู่อาศัยและอีกอย่างหนึ่ง คือ ต้นลำพูจะอยู่เหนือ พื้นดินระดับที่แตกต่างกัน ทำให้น้ำท่วมไม่ถึง

ต้นลำพู ขึ้นตามริมหนองน้ำ  หรือตามลำธารที่มีน้ำนิ่ง และ
ในยามค่ำคืนเป็นที่อาศัยของหิ่งห้อย ส่องแสงกระพริบสวยงามยามราตรี


ดอกของต้นลำพู

        ในอดีตเมื่อประมาณก่อน พ.ศ. 2503 พื้นที่แถบตำบลใจดี มีต้นไม้นี้ขึ้นอยู่ชุกชุม  โดยเฉพาะบริเวณหนองกลาง ภาษาเขมรท้องถิ่นขุขันธ์เรียก ត្រពាំងកណ្ដាល /ตระ-เปียง-ก็อน-ดาลฺ/ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของวัดลำภูในปัจจุบัน และแถบป่าด้านทิศตะวันออกของวัดลำภูก็พบมีบ้างประปราย แต่ต่อมาภายหลังชาวบ้านได้บุกแผ้วถางเพื่อทำไร่ทำนา ทำให้ต้นลำพู ถูกทำลายจนสูญพันธุ์ในที่สุด  


          และนอกจากนี้ ในอดีตพื้นที่ป่าแถบยังเต็มไปด้วยไม้ป่านานาพรรณ รวมทั้งมีต้นโพธิ์ใหญ่ ต้นตาล และต้นมะม่วงขึ้นอยู่ชุกชุม โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบต้นมะขามตาไกร  จึงเป็นที่มาของคำในชื่อวัดที่พบในเอกสารเก่าว่า วัดอัมพนิวาสลำภู (ในพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิยสถาน คำว่า "อัมพ" เป็นคำมาจากภาษาบาลี แปลว่า "มะม่วง" และคำว่า "นิวาส" ก็เป็นคำมาจากภาษาบาลีเช่นกัน แปลว่า "ที่อยู่อาศัย , ที่พัก " รวมความน่าจะแปลว่า "ที่พัก/ที่อาศัยใกล้ต้นมะม่วง"​) แต่ต่อมา ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใดชาวบ้านได้เรียกชื่อนี้เพี้ยนมาเป็น วัดลำพู รัมพนีวาส ในที่สุดและเรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน) โดยมีพระภิกษุปทา เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก  
            ปัจจุบันยังพอมีหลักฐานที่ปรากฏหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดนี้ว่า มีอายุนับเป็นร้อยๆปี มีอยู่หลายอย่าง ดังนี้

              1. พระสถูปเจดีย์คู่โบราณ  หรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่าปราสาทโบราณ 2 หลัง  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอุโบสถมหาอุจจ์ วัดบ้านลำภูในปัจจุบัน   สภาพของพระสถูปเจดีย์องค์แรก  ซึ่งอยู่ใกล้อุโบสถที่สุด  ปัจจุบันอยู่ในสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมปรักหักพัง ยังคงเหลือให้เห็นแต่ส่วนฐานเท่านั้น   ส่วนพระสถูปเจดีย์องค์ที่สอง ซึ่งอยู่ถัดไปทางทิศตะวันออกของพระสถูปเจดีย์องค์แรกนั้น ปัจจุบันยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ ประมาณร้อยละ 80   

              เมื่อปี พ.ศ. 2546 เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร  ได้สำรวจตรวจสภาพ โดยได้นำเอาก้อนอิฐไปทำการตรวจสอบอายุ พบว่า ปัจจุบัน(พ.ศ. 2566) มีความเก่าแก่กล่าว คือพระสถูปเจดีย์คู่โบราณ นี้ สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2012 และทางการได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


            พระสถูปเจดีย์คู่โบราณ นี้ จากการสืบค้นข้อมูลของคณะกรรมการประวิติศาสตร์เมืองขุขันธ์ พบว่าได้สร้างทับ พระสถูปเจดีย์คู่โบราณองค์เดิม  ซึ่งขึ้นในในสมัยเสียมโคก หรือ เสียมโคกขัณฑ์ ที่ก่อสร้างมาก่อนนี้แล้ว  ซึ่งได้อพยพขึ้นมา หลังจากพระเจ้าแตงหวาน ชิงราชสมบัติ จากพระเจ้าชัยวรมันที่ 9  ซึ่งสมเด็จพระองค์ชัย หรือ พระเจ้าแตงหวาน ត្រសក់ផ្អែម ปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์นโรดม เชื้อพระวงศ์มาจากอาณาจักรจามปา ได้อำนาจจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ជ័យវរ្ម័ន ទី ៩ เสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า พระบาท กมรเตง อัญ ศรีสุริโยพันธ์ บรมมหาบพิตรธรรมิกมหาราชาธิราช ព្រះបាទ កម្រតេង អញស្រី សុរិយោពណ៌ មហាបពិត្រ ធម្មិករាជាធិរាជ  ครองราชในเมืองทางตอนใต้บริเวณที่เป็นเมืองจตุรมุข หรือ กรุงพนมเปญ ในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.1833 จากการรวมตัวของทาสจากเมืองพระนครหลวง และต่อมาได้ครองราชสมบัติต่อจาก พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ที่เมืองนครหลวง ในปี พ.ศ.1879-1883
             พระเจ้าแตงหวาน  ត្រសក់ផ្អែម  ได้ปราบปรามกลุ่มผู้ปกครองเดิมคือ ราชวงศ์วรมัน ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 อย่างหนักจนราบคาบกลุ่มของพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 จึงต้องอพยพย้ายขึ้นมายังดินแดนอยุธยา หลายสาย และหลายกลุ่ม ​ซึ่งกลุ่มที่สำคัญที่สุดคือ กลุ่มของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ทรงมาตั้งเมืองและครองราชระหว่าง พ.ศ. 1893-1912
            กลุ่มพระราชวงศ์ตระกูลชัยวรมันที่ 9 อีกกลุ่มก็เดินทางขึ้นมาทางราชมรรคา រាជមគ៌ា ซึ่งเป็นทางติดต่อกันระหว่างขอมหรือสยาม ในดินแดนทะเลสาบมายังแดนสยามตั้งแต่ก่อนสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1
แล้วมาตั้งเมืองบริเวณเมืองโคกขัณฑ์ ณ วัดลำภู จึงได้สร้างเจดีย์ขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ.1879 เป็นต้นมา ดังที่ปรากฏหลักฐาน อยู่ ณ วัดลำภู จนถึงวันนี้
              ในส่วนของตำนานความเชื่อของคนเก่าแก่ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นในหมู่บ้านได้เล่าตำนานการสร้างพระสถูปเจดีย์คู่โบราณ นี้ ต่อๆกันมาว่า  เป็นพระสถูปเจดีย์คู่โบราณที่หนุ่มสาวสมัยโบราณยุคนั้นสร้างแข่งขันกัน ด้วยจิตศรัทธาอันแรงกล้า เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา(เช่นเดียวกับประเพณีการก่อเจดีย์ทราย ถวายวัดที่ชาวบ้านเรานิยมกระทำกันในช่วงวันตรุษสงกรานต์  ในยุคปัจจุบัน) พอสร้างได้ประมาณครึ่งองค์  ฝ่ายเหญิงเห็นว่าฝ่ายชายสร้างได้เร็ว และคืบหน้าไปกว่าฝ่ายของตน  คงจะเสร็จก่อนเป็นแน่แท้  จึงออกอุบายโดยใช้มารยาหญิงหลอกให้ฝ่ายชายช่วยฝ่ายหญิงก่อน แล้วฝ่ายหญิงจะมาช่วยฝ่ายชายทีหลัง ทำให้ฝ่ายชายสงสารเห็นใจ และหลงกลในที่สุด  ฝ่ายชายจึงได้ช่วยฝ่ายหญิงสร้างพระธาตุจนเกือบเสร็จ  และแล้วพอฝ่ายชายกลับมาสร้างพระธาตุของตนเอง ก็มีเวลาเหลือเพียงเล็กน้อย จึงทำให้แพ้ฝ่ายหญิงไป  เพราะฝ่ายชายสร้างได้เพียงครึ่งเดียว   และเป็นธรรมดาของโบราณสถานที่มีอายุ การสร้างมานาน กอรปกับขาดการดูแลบำรุงรักษา  จึงทำให้พระธาตุเจดีทั้งสององค์ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา  และสภาพดินฟ้าอากาศจึงทำให้มีต้นไม้ขึ้นแทรกระหว่างก้อนอิฐภายในตัวพระธาตุเจดีย์  โดยเฉพาะพระธาตุเจดีย์องค์แรก ปัจจุบันได้เกิดการแตกร้าว และได้หักพังลงไป  เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก  หากได้รับการดูแลรักษาบูรณะซ่อมแซมโดยถูกวิธี  ก็คงจะยังคงเหลือเป็นศาสนสถานที่ล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ภูมิใจ 

              2. เสมาหินเก่าแก่  สำหรับที่ตั้งของอุโบสถวัดลำภู แห่งนี้ ได้มีการเลื่อนที่ตั้งมาราว 3 ครั้งแล้ว จึงมาเป็นที่ตั้งปัจจุบัน เดิมบริเวณนี้เป็นเนินดินคล้ายเนินดินจอมปลวดขนาดใหญ่ มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมอยู่หนาทึบ ตรงกลางมีต้นข่อยขนาดใหญ่ขึ้นเด่นเป็นสง่า  ชาวบ้านในท้องถิ่นนี้เชื่อกันว่า เป็นเนินดินอาถรรพ์และศักดิ์สิทธิ์ เพราะได้มีเหตุการณ์แปลกๆปรากฏขึ้นหลายครั้ง เช่น วัวควายที่นำมาเลี้ยง หรือเล็ดลอดเข้ามาในบริเวณวัดจะไม่กล้าเข้ามากินหญ้าในบริเวณนี้ แต่ก็เคยมีวัวควายบางตัวเล็ดลอดเข้าไปหากินหญ้าและใบไม้บริเวณเนินดินแห่งนี้  จึงทำให้สัตว์เลี้ยงเหล่านั้น มีอันเป็นไปถึงตายทุกตัวโดยไม่ทราบสาเหตุของการตาย  ถึงแม้จะมีการตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ที่ตายว่ามีร่องรอยการถูกงูพิษกัด หรือถูกสัตว์อื่นทำร้าย ก็พบว่าไม่มี ทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นเกิดความหวาดกลัว และเล่าขานเรื่องราวต่อๆกันมาว่า ให้ระมัดระวัง  อย่าได้นำสัตว์เลี้ยงไปเลี้ยงใกล้บริเวณดังกล่าว

              ในเวลาต่อมา ได้มีพระธุดงค์ชาวเขมรซึ่งมีเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่กล้ารูปหนึ่ง ได้ธุดงค์มาปักกลดนั่งกรรมฐานทำสมาธิ ใกล้ๆบริเวณพระธาตุทั้งสององค์เป็นเวลาหลายวัน และได้บอกกล่าวให้ชาวบ้านฟังว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์มีวัตถุอันล้ำค่าฝังอยู่ ก็ยิ่งทำให้เพิ่มหวาดกลัวให้กับชาวบ้านมากขึ้น จึงได้พากันปล่อยให้บริเวณเนินดินดังกล่าวรกร้างจนเป็นป่าทึบ ในที่สุด

              ต่อมาราว พ.ศ. 2502  พระอธิการเรียบ เจ้าอาวาสวัดลำภู รูปที่ 14 (พ.ศ. 2502 -2507) และชาวบ้านได้ร่วมกันประกอบพิธีเข้าทรงอัญเชิญดวงวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางให้ย้ายไปสถิตย์อยู่ ณ ที่ศาลเจ้าแห่งใหม่ ที่ชาวบ้านได้สร้างให้ ในบริเวณป่าต้นยางทางทิศเหนือของวัด เพื่อจะได้ตัดต้นไม้และถากถางปรับพื้นที่บริเวณรอบๆองค์พระธาตุเจดีย์ให้โล่งเตียน  และสะดวกแก่การทำพิธีสักการะบูชากราบไหว้  ภายหลังจากที่ได้ตัดต้นไม้ออก และถากถางพื้นที่ดังกล่าวจนดูโล่งเตียนไปหมดแล้ว ก็คงเหลือแต่สภาพเป็นเนินดินขนาดใหญ่ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  นับตั้งแต่นั้นมา วัวควายก็สามารถขึ้นไปกินหญ้าบริเวณดังกล่าวได้โดยไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นดังเช่นแต่ก่อนอีกเลย  สร้างความประหลาดใจให้ชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์มาจนถึงทุกวันนี้

              ต่อมา พ.ศ. 2507 เมื่อพระอธิการเสียม  กิตติสาโร ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดรัมพนีวาสลำภู รูปที่ 15 (พ.ศ.2507-2521) ได้ประชุมปรึกษาหารือกับชาวบ้านในสังกัดวัดและตกลงกันว่าจะสร้างอุโบสถขึ้น เพื่อใช้ประกอบศาสนกิจแทนศาลาการเปรียญหลังเก่าที่ทรดโทรมผุพัง เนื่องจากมีอายุการปลูกสร้างที่นานมาแล้ว   ในข้อปรึกษาหารือครั้งแรกได้พากันวางผังที่จะสร้างอุโบสถหลังใหม่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ตั้งอุโบสถในปัจจุบัน  และเมื่อวางผังเสร็จแล้วก็ได้ใช้แรงงานจากพระสงฆ์สามเณร ร่วมกับชาวบ้านขุดและขนย้ายดินจากบริเวณเนินดินที่ปรับโล่งเตียนดังกล่าวมาถมปรับระดับเพื่อก่อเป็นฐานในการสร้างอุโบสถ  แต่พอขุดดินไปได้ระดับหนึ่งก็ปรากฏว่าได้ขุดพบวัตถุชิ้นหนึ่งเป็นหินสีเขียวใสผิวขรุขระมีความแข็งแรงมาก สร้างความตื่นเต้น และชวนให้เกิดความสงสัยกับชาวบ้านว่าเป็นหินอะไรกันแน่มาฝังอยู่ในบริเวณแห่งนี้  ต่างช่วยกันขุดเคลื่อนย้ายออกมาทำความสะอาด  โดยใช้น้ำล้างดู ต่างพากันลงความเห็นว่า ไม่ใช่หินธรรมดา  แต่เป็นใบเสมาหินเก่าแก่ที่ฝังอยู่ใต้เนินดิน  นั่นเอง  และเมื่อขุดต่อไปโดยทั่วทั้งเนินก็พบรวมใบเสมาหินอีก 4 ใบ โดยใบเสมาหินใบที่ 5 ถูกฝังอยู่ตรงกลางเนินดิน รวมกันทั้งสิ้น 5 ใบ จึงสันนิษฐานว่าเป็นใบเสมาที่ฝังไว้เป็นเขตวิสุงคามสีมาตั้งแต่ในอดีตแรกเริ่มตั้งวัดรัมพนีวาสลำภู เพื่อเป็นที่ประกอบสังฆกรรมต่างๆโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเขตที่กำหนดเอาไว้เพื่อเป็นแดนแห่งความสามัคคีแห่งสงฆ์นี้เองเรียกว่า "สีมา"

              3. สิงห์คู่หินแกะสลักเก่าแก่    นอกจากจะขุดพบใบเสมาหินเก่าแก่แล้ว ระหว่างที่ขุดดินเพื่อขยายออกไปทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่ระหว่างองค์พระธาตุเจดีย์เก่าแก่กับเขตที่พบใบเสมา  ก็ได้ขุดพบสิงห์คู่หินแกะสลักเก่าแก่ จำนวน 2ตัว  (มีรูปลักษณะคล้ายๆกับสิงห์คู่หินแกะสลักที่ชาวอำเภอภูสิงห์ให้ความเคารพนับถือ เรียกว่า "เจ้าพ่อสิงห์คู่" ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ อุโบสถวัดบ้านโคกตาล อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน) แต่รูปร่างสง่างามมากและครบถ้วนสมบูรณ์กว่าที่สิงห์คู่ของอำเภอภูสิงห์ โดยสิงห์คู่หินแกะสลักต่างถูกวางให้ยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอีกด้วย  จึงเป็นการยืนยันว่า สถานที่บริเวณเนินดินดังกล่าวนั้น เคยเป็นที่ตั้งของอุโบสถแต่เก่าก่อนอย่างแน่นอน 

สิงห์คู่หินแกะสลักที่ชาวอำเภอภูสิงห์ให้ความเคารพ หรือ
"เจ้าพ่อสิงห์คู่" ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ อุโบสถวัดบ้านโคกตาล
อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน
              สำหรับเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของสิงห์คู่หินแกะสลักวัดบ้านลำภูนั้น เล่ากันต่อกันมาว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มาก  ครั้งแรกที่ขุดพบได้เก็บรักษาไว้บนเนินดิน  โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเด็กขึ้นไปขี่คร่อมบนหลังของสิงห์คู่หินแกะสลักเก่าแก่ ด้วยความสนุกสนาน ทำให้เด็กเหล่านั้นมีอันเป็นไปจนถึงแก่ความตายหลายราย  จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางวัดและชาวบ้านจึงได้ปรึกษาหารือเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดกับชีวิตของบุคคลอื่นๆอีก โดยได้พากันทำพิธีขออัญเชิญสิงห์คู่หินแกะสลักทั้งสองตัวไปทำพิธีฝังไว้ใต้ต้นจามจุรีใหญ่ด้านข้างองค์พระธาตุเจดีย์คู่เก่าแก่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าขุดค้นหาสิงห์คู่หินแกะสลักเก่าแก่เอาขึ้นมาอีกเลย

              จากเหตุการณ์ตามที่ทางวัด และชาวบ้านได้ประสบเห็นโดยทั่วกันกันทั้งสองอย่างในช่วงนั้น กล่าวคือการขุดพบเสมาหิน และสิงห์คู่หินแกะสลักเก่าแก่ ในบริเวณเนินดินดังกล่าว  จึงได้ปรึกษาหารือกันอีกครั้ง เพื่อเลื่อนผังที่จะสร้างอุโบสถหลังใหม่มาตรงบริเวณเนินดินที่เป็นที่ตั้งของอุโบสถเก่าแก่ โดยได้สร้างครอบบริเวณที่เป็นเนินดินที่พบใบเสมาทั้ง 5 ใบ และได้ขุดหลุมแล้วนำใบเสมาทั้งหมดฝังกลบไว้ที่จุดที่พบเดิมทุกจุดในที่สุด

บริเวณอาณาเขตที่ตั้งของวัดบ้านลำภู
            วัดรัมพนีวาสลำภู(วัดบ้านลำภู) ตั้งอยู่บนพื้นที่ดอน มีเนื้อที่โดยประมาณ 20 ไร่  ในอดีตบริเวณรอบๆที่ตั้งของวัดดั้งเดิม จะมีต้นตาลจำนวนมากขึ้นเรียงราย กันเป็นทิวแถวดูแล้วสวยงามมาก  มีร่องรอยเป็นคูน้ำเก่าล้อมโดยรอบ แต่ในปัจจุบันได้ถูกชาวบ้านไถกลบ และถมจนต้นเขินและกลายเป็นพื้นที่ทำนาชองชาวบ้านไปเรียบร้อยแล้ว  โดยเฉพาะด้านทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก เป็นที่ลุ่มเหมาะสำหรับการทำนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์  สำหรับด้านทิศใต้ระหว่างบ้านลำภูกับบ้านใจดีมีหนองน้ำที่เรียกชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นเขมรว่า" ត្រពាំងកណ្តាល​ " อ่านว่า / ตรอ-เปียง-ก็อน-ดาล*/ แปลเป็นภาษาไทยว่า "หนองกลาง" ในปัจจุบันตื้นเขินใช้ทำนาข้าวได้

             ในบริเวณวัดในอดีต  นอกจากจะมีต้นตาลขึ้นเป็นทิวแถวจำนวนมากมายแล้ว  ยังมีต้นไม้ที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา คือต้นโพธิ์ใหญ่  ขนาด 9 คนโอบอายุหลายร้อยปี จำนวน 4 ต้น สันนิษฐานว่า น่าจะปลูกขึ้นพร้อมกับการสร้างวัดครั้งแรก แต่เป็นที่น่าเสียดาย  ต้นโพธิ์ใหญ่ จำนวน 2 ต้นได้ถูกตัดโค่นลงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่เห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์

            และนอกจากนี้ ก็ยังมีต้นไม้ที่สำคัญทางประวัติศาสตรอีก ก็คือต้นมะขามขนาดใหญ่  ลักษณะรูปทรงลำต้นบ่งบอกถึงความมีอายุที่ยาวนานเป็นร้อยๆปีเช่นกัน มะขามต้นนี้ชาวบ้านเรียกเป็นภาษาท้องถิ่นเขมรต่อกันมานานหลายชั่วอายุคนแล้วว่า "អំពឹលតាក្រៃ"​ อ่านว่า / อ็อม-ปึล*-ตา-กรัย / แปลเป็นภาษาไทยว่า "ต้นมะขามของตาไกร" ซึ่งเชื่อกันว่า พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรกเป็นผู้ปลูก  ปัจจุบันต้นมะขามใหญ่ต้นนี้  ยังคงมีชีวิตอยู่ และยืนต้นตระหง่านอยู่กึ่งกลางระหว่างต้นโพธ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ทั้งสองต้นพอดี

ทำเนียบเจ้าอาวาสวัดลำภู(อัมพนิวาส) จากอดีตถึงปัจจุบัน
              1. พระภิกษุประทา (พ.ศ.2134-2140)
              2. พระภิกษุโพธิ์ (พ.ศ.2140-2191)
              3. พระภิกษุแซม  (พ.ศ.2191-2249)
              4. พระราชครูบัว  (พ.ศ.2249-2321)
              5. พระภิกษุเปรียม  (พ.ศ.2321-2354)
              6. พระภิกษุนุช  (พ.ศ.2354-2399)
              7. พระภิกษุยิม (พ.ศ.2399-2425)
              8. พระภิกษุเปียง  (พ.ศ.2425-2448)
              9. พระภิกษุบุญมา  (พ.ศ.2448-2473)
              10. พระอธิการคำ  (พ.ศ.2473-2488)
              11. พระอธิการพม  (พ.ศ.2488-2493)
              12. พระอธิการบุญเรือง  กิตติสาโร  (พ.ศ.2493-2499)
              13. พระอธิการอุก  (พ.ศ.2499-2502)
              14. พระอธิการเรียบ  (พ.ศ.2502-2507)
              15. พระอธิการเสียม กิตติสาโร  (พ.ศ.2507-2521)
              16. พระอธิการเรียม  (พ.ศ.2521-2532)
              17. พระอธิการเรียบ  สิริวัณโณ  (พ.ศ.2532-2541)
              18. พระอธิการสาน  โชติปาโล  (พ.ศ.2541-ปัจจุบัน)
ที่มา : พระแก้วเนรมิต และองค์พระพญาครุฑ องค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองขุขันธ์.​(2550). และภูมิปัญญาท้องถิ่นทุกท่านในตำบลใจดี อำเภขุขันธ์ ที่เอื้อเฟื้อและอนุเคราะห์ข้อมูล

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย