ในขณะนี้ จึงพอที่จะสรุปได้ว่า มีการค้นพบหลวงพ่อโต ในสมัย พระพิเศษภักดี (หรือ ท้าวชม พ.ศ. ๒๓๒๘ – ๒๓๖๘) เจ้าเมืองศรีสะเกษ ท่านที่ ๒ ย้ายเมืองมาตั้งใหม่ในสถานที่ที่เป็นจังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน และได้สร้างวัดพระโตเป็นวัดคู่เมืองศรีสะเกษขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ และนับถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๘) วัดพระโตมีอายุ ๒๓๐ ปี ฯ
วัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) ได้ชื่อว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ ก็เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ เป็นปีที่เจ้าเมืองศรีสะเกษคนที่ ๒ พระวิเศษภักดี (หรือ ท้าวชม พ.ศ. ๒๓๒๘ – ๒๓๖๘) ได้ย้ายเมืองศรีสะเกษ จากที่ตั้งเดิมบ้านโนนสามขาสระกำแพงมาตั้งที่บริเวณที่เป็นศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ในขณะที่สร้างเมืองนั้น มีคนไปพบหลวงพ่อโต ภายในใจกลางป่าแดง จึงได้อุปถัมภ์บำรุงโดยให้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่พบหลวงพ่อโต ตั้งชื่อว่า “วัดพระโต" หรือ "วัดป่าแดง” ได้จัดหาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิมาปกครอง ก่อสร้างเสนาสนะที่จำเป็นต่าง ๆ และ เจ้าเมืองศรีสะเกษคนต่อ ๆ มาไม่ว่าจะเป็นพระวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) เจ้าเมืองศรีสะเกษ ท่านที่ ๓ ,พระวิเศษภักดี (โท) เจ้าเมืองศรีสะเกษ ท่านที่ ๔ เป็นต้น ก็ได้อุปถัมภ์เอาใจใส่บำรุงวัดพระโต เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ ตลอดมา ตราบเท่าที่ศรีสะเกษได้กลายเป็นจังหวัด ตามกฎหมายแบ่งเขตการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเจ้าเมืองใหม่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนต่างก็ให้ความเคารพยำเกรง เมื่อมาดำรงตำแหน่งใหม่ก็ถือเป็นประเพณีที่ต้องมาทำพิธีบูชาสักการะหลวงพ่อโตในวิหารก่อนเสมอ
ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๙๑ คณะสงฆ์ศรีสะเกษซึ่งมีพระชินวงศาจารย์(มหาอิ่ม คณะธรรมยุติ) ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ในขณะนั้น ดำริจะเปลี่ยนชื่อ "วัดพระโต" หรือ "วัดป่าแดง" เป็น "วัดมหาพุทธวิสุทธาราม" แต่คณะกรรมการสงฆ์จังหวัด ได้พิจารณาเห็นควรเพียงชื่อว่า "วัดมหาพุทธาราม" จึงได้ชื่อ "วัดมหาพุทธาราม" มาตั้งแต่บัดนั้น(ทั้งนี้ตามบันทึกของมหาประยูร วัดมหาพุทธาราม)
ในขณะนั้น มีวัดเก่าแก่ที่มีอายุใกล้เคียงกัน รายล้อมวัดมหาพุทธารามอยู่ทุก ๆ ด้าน เหมือนเป็นปราการเฝ้าระวังของเมืองอยู่ ๕ วัด คือ
๑. วัดหลวงศรีสุมังค์ หรือวัดหลวงสุมังคลาราม พระอารามหลวงปัจจุบัน
๒. วัดท่าโรงช้าง ต่อมาได้ชื่อใหม่ว่า วัดท่าวิเศษกุญชร หรือวัดศรีมิ่งเมือง ปัจจุบัน
๓. วัดท่าเหนือ ร้างมานานแล้ว ปัจจุบันเห็นแต่เพียงต้นโพธิ์ใหญ่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษเขตของวัดอยู่บริเวณฝั่งห้วยสำราญใกล้ ๆเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน
๔. วัดเลียบ ร้างมานานเหมือนกัน ทางรัฐบาลเคยเช่าตั้งเป็นโรงไฟฟ้าอยู่คราวหนึ่ง ต่อมาจึงเป็นวัดเลียบบูรพาราม
๕. วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม พระอารามหลวง ซึ่งเป็นวัดใหญ่อีกวัดหนึ่งที่มีความสำคัญในทางการปกครองสงฆ์มาจนถึงปัจจุบันนี้
สรุปแล้ว วัดมหาพุทธาราม เคยเป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งมาก่อนเมืองศรีสะเกษ โดยเดิมเรียกว่า “วัดป่าแดง” ภายหลังจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดพระโต” ตามลักษณะของพระพุทธรูปโบราณศักดิ์สิทธิ์แต่นั้นมา และต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดมหาพุทธาราม” ในที่สุด และได้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างมาโดยลำดับ เคยเป็นวัดที่มีเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายมหานิกายปฏิบัติศาสนกิจหลายรูป และปัจจุบันวัดมหาพุทธาราม ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษด้วย ฯ