-->
ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566

บุญประเพณีแซนโฎนตา สารทแห่งความกตัญญูของชาวอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ(โดยละเอียด)

     อำเภอขุขันธ์    เป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ประกอบด้วยหลายชนชาติพันธุ์ได้แก่ชนชาติพันธุ์เขมรเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาเป็นชนชาติพันธุ์กูย/กวย  ลาว  เยอ  จีน และแกว ตามลำดับ ซึ่งต่างก็ได้ถือปฏิบัติขนบประเพณีเดียวกันในหลายเทศกาล ทั้งจารีต และประเพณีที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญกุศลทางศาสนา และระเบียบพิธีในการดำเนินชีวิตเพื่อความสงบสุข เป็นสิริมงคลเช่น พิธีสู่ขวัญบายศรี ให้แก่ลูกหลานญาติมิตรในโอกาสการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ เช่น การประกอบพิธีสู่ขวัญบายศรีให้แก่ลูกหลานในพิธีแต่งงาน พิธีอุปสมบทพิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น  ส่วนในด้านตรงข้ามนั้นหมายถึง ในกรณีที่ลูกหลานญาติมิตรได้ประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงแทบเอาชีวิตไม่รอด หรือจากการป่วยหนัก หรือได้รับหมายเรียกเกณฑ์ทหาร เป็นต้น ญาติผู้ใหญ่หรือบิดามารดาจะนิยมจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้ลูกหลาน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแสดงความยินดีและรับขวัญให้กำลังใจในโอกาสดังกล่าวเป็นการส่วนตัว
     ส่วนพิธีบำเพ็ญกุศลตามคติทางพระพุทธศาสนานั้น นอกจากจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ และตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรในเทศกาลประจำปีแล้ว   ในพิธีบุญแซนโฎนตา ก็เป็นอีกพิธีหนึ่งที่ลูกหลานชาวอำเภอขุขันธ์ รวมไปถึงอำเภอและจังหวัดใกล้เคียงยังคงให้ความสำคัญยิ่ง ถึงแม้ตัวเองจะเดินทางไปประกอบอาชีพอยู่ห่างไกลเพียงใดก็จะต้องหาโอกาสกลับภูมิลำเนาเดิมเพื่อไปร่วมพิธีนี้กับครอบครัวให้จงได้ แม้กาลเวลาและยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์เช่นในยุคปัจจุบันนี้ ก็หาได้ทำให้ความสำคัญของพิธีบุญแซนโฎนตาเสื่อมคลายลงไปได้ไม่ ลูกหลานรุ่นหลังกลับจะนำเอาระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในพิธีการนี้ได้เป็นอย่างดี เช่นการใช้โทรศัพท์นัดหมายเรียกเครือญาติที่อยู่ห่างไกล หรือสั่งการให้ญาติเตรียมการอย่างไร เป็นต้น และในบางครอบครัวบางตระกูลก็สามารถจัดบันทึกภาพกิจกรรมสำคัญในวันนี้ไว้ ให้ลูกหลานที่อยู่ไกลได้มีโอกาสรับรู้รับชมผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์(Social Media)ด้วย เรียกได้ว่า ระบบการสื่อสารสมัยใหม่ช่วยส่งเสริมให้ความสามารถรวมตัวกันได้ดียิ่งขึ้น และเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด หรือปลูกฝังค่านิยมประจำถิ่นประจำเผ่าได้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 
             เทศกาลบุญประเพณีแซนโฎนตา อยู่ระหว่างวันขึ้น 1 ค่ำ  ถึงวันแรม 14 ถึง 15 ค่ำเดือนสิบ ของทุกปี ซึ่งก็คือ ตรงกับวันสารทของพุทธศาสนิกชน นั้นเอง ต่างแต่ว่าพุทธศาสนิกชนอื่นนั้น จะให้ความสำคัญของวันนี้แค่การไปทำบุญที่วัดธรรมดาเท่าๆกับวันสำคัญทางศาสนาอื่น แต่ประชาชนชาวอำเภอขุขันธ์ และอำเภอใกล้เคียงดังกล่าวแล้วนั้นจะถือว่าเป็นพิธีสำคัญมาก สำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัวแทบจะทุกครัวเรือนเลยทีเดียว ทั้งนี้ไม่ได้หมายรวมไปถึงประชากรบางส่วนที่ย้ายเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่ใหม่ ทั้งพ่อค้า และข้าราชการ หรือผู้ประกอบการอื่นที่เป็นคนต่างถิ่น ซึ่งถึงแม้จะไม่มีส่วนร่วมในการประกอบพิธี    แต่ก็สามารถใช้โอกาสนี้แสวงหาประโยชน์ด้วยการจัดหาสินค้าในเทศกาลมาจากจำหน่ายได้เป็นอย่างเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว

ที่มาของศรัทธาอันมั่นคง
           
            ในสมัยโบราณ ปูย่า ตายาย   จะให้ความเคารพนับถือพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด การใดที่จะเกี่ยวข้องกับวัดวาอาราม หรือกับพระภิกษุสงฆ์แล้วก็จะต้องจัดทำด้วยความพิถีพิถัน ประณีตเป็นพิเศษตามอัตภาพของตน เช่น การเตรียมอาหารที่จะนำไปวัด ปิ่นโตที่ทำความสะอาดดีแล้ว และจะนำมาตักอาหารใส่จะต้องมีภาชนะรองอีกทีหนึ่ง แล้วก็ตักข้าวปากหม้อ ตักแกงถ้วยแรก หรือน้ำพริก ผักต้ม ก็จะจัดด้วยความประณีตเรียบร้อย คัดแต่สิ่งที่ดีพิเศษลงสำรับเสร็จแล้วตั้งไว้ในที่สูงเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานหยิบยื่นสิ่งของข้ามไปมาอันจะเป็นบาปแก่ลูกหลานได้
        ในเทศกาลวันสารท หลังพิธีแซนโฎนตาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะมีการเตรียมของไปใส่บาตรและเลี้ยงพระ ช่วงนี้จะมีพิธีชักบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลรวมกันทั้งหมู่บ้าน โดยลูกหลานจะนำปัจจัยใส่ซองพร้อมด้วยรายชื่อของบิดามารดาปู่ย่าตายายและญาติในตระกูล และญาติในสายตระกูลของตนเอง วางใส่พานจัดวางบนผ้าขาวที่ปูเตรียมไว้ด้านหน้าพร้อมด้วยสำรับกับข้าว ขนม ผลไม้ต่างๆ เมื่อผู้นำหมู่บ้านจับด้ายสายสิญจน์เรียบร้อยแล้วพระสงฆ์ก็จะสวดมาติกาบังสุกุลให้ จากนั้นผู้นำหมู่บ้านก็จะนำรายชื่อของญาติหรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วทั้งหลายออกมาจุดไฟใส่ลงในภาชนะ เช่น จาน หรือถาด เป็นต้น แล้วพระสงฆ์ก็จะกรวดน้ำลงบนเถ้ากระดาษรายชื่อที่เผาไฟแล้วนั้นอีกที่หนึ่ง หลังจากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องราวในเทศกาลวันสารทว่ามีความเป็นมาอย่างไรและทำไมจึงต้องทำ ไม่ทำไม่ได้หรือ ?

        
พระธรรมเทศนา ฉลองเบ็ณฑ์ (ឆ្លងបិណ្ឌ)
ภาษาขอมโบราณเมืองขุขันธ์
            ใจความโดยสรุปจากพระคัมภีร์ ที่พระสงฆ์ท่านแสดงในเทศกาลแซนโฎนตา นั้นมีดังต่อไปนี้   อันมนุษย์ชาติทุกศาสนาทุกภาษาทั่วโลกนั้น   เมื่อแตกดับจิต และละสังขารไปแล้ว จิตวิญญาณก็จะถูกฉุดดึงไปตามอำนาจของกรรมที่ทุกคนได้กระทำไว้ก่อนตาย เมื่อทำดีมีบุญกุศลสะสมไว้มากจิตวิญญาณนั้นก็จะไป อุบัติในทิพยสถาน  ตามลำดับแห่งภพภูมิของตน แต่ก็มีเป็นส่วนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายที่ถูกบาปอกุศล ฉุดรั้งไปสู่อบายภูมิ โดยไม่มีอำนาจใดทัดทานได้   จำนวนสัตว์นรกในอบายภูมิแต่ละขุมนั้น จึงมีมากมายมหาศาล แออัด ยัดเยียด เบียดเสียดกันอยู่ในท่ามกลางความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการลงทัณฑ์ของเหล่านายนิริยะบาลที่ไม่มีการยกเว้น หรือให้อภิสิทธิ์แก่ใครทั้งสิ้น
            กาลเวลา ในอเวจีมหานรกนั้น  นานนับเป็นอสงไขยกับกันเลยทีเดียว แต่ในรอบ 1 ปี นกษัตริย์ของโลกมนุษย์   พระยายมราชท่านจะอนุญาตให้นายนิรยบาล  ปล่อยสัตว์นรกทั้งหลายให้ขึ้นไปรับบุญกุศลจากลูกหลานญาติมิตรพี่น้องได้ 1 ครั้งในเดือน 10 นับตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ เดือนสิบ เป็นต้นไปจนถึงวันแรม 14 ถึง 15 ค่ำเดือนสิบ แล้วจึงค่อยให้กลับไปรับโทษในอเวจีมหานรกต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรม เหล่าสัตว์นรกทั้งหลายนี้เมื่อได้รับอนุญาตให้กลับไปหาลูกหลานญาติพี่น้องก็ดีใจ ความที่ต้องอดทนหิวโหยอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เมื่อขึ้นมาเห็นข้าวปลาอาหาร ขนม นมเนย พร้อมด้วยผลไม้ เผือก มัน อุดมสมบูรณ์ที่ลูกหลานจัดเตรียมไว้ให้ก็มีความพึงพอใจและสมปรารถนา และแล้วเมื่อถึงกำหนดที่จะต้องกลับไปรับโทษต่อก็จะอำนวยพรให้ลูกหลานประสบแต่สิ่งที่ดีงาม มีสิริมงคลไพบูลย์พูนผล และห่างไกลจากสรรพยันตรายทั้งปวง

            ส่วนพวกที่ขึ้นมาแล้วเมื่อได้เที่ยวเดินหาตามบ้านเรือนของลูกหลานคนโน้นคนนี้ทั่วทุกคนแล้วก็ก็สอดส่ายสายตาลอดตามช่องประตูหน้าต่าง หรือ ตามรอยแยกช่องโหว่ของฝาผนังบ้านนั้นไม่เห็นลูกหลานตั้งสำรับเครื่องแซนโฎนตาไว้ต้อนรับก็เกิดความกำศรดโศก เสียใจด้วยความผิดหวัง แล้วก็เลยพาลพาโลโกรธเคืองให้บุตรหลานที่ใจจืดใจดำที่แม้จะเลี้ยงดูปู่ย่าตาทวดแค่สักปีละครั้งก็ทำไม่ได้ สัตว์นรกเหล่านี้ ก็จะลุแก่โทสะกล่าววาจาอันเป็นโทษ สาปแช่งบุตรหลานให้มีอันเป็นไป ให้ได้รับความเดือดร้อนนานาประการ ขาดแคลนในเครื่องอุปโภคบริโภค มีอุปสรรคขัดข้องในการดำเนินชีวิต จะคิดทำสิ่งใดก็มีแต่ความล้มเหลวจนกว่าจะสิ้นอายุไขดังนี้เป็นต้น
            เนื้อหาโดยสรุปจากพระคัมภีร์ที่พระสงฆ์ในช่วงเทศในในช่วงเทศกาลแซนโฎนตานี่เอง คือหัวใจของเรื่องราวความเป็นมาของประเพณีแซนโฎนตาที่ได้รับการถ่ายทอดสู่รุ่นหลานรุ่นหลังอย่างต่อเนื่องยาวนาน รุ่นต่อรุ่นตราบเท่าถึงทุกวันนี้ ซึ่งทั้งหมดก็คือกุญแจไขปริศนาที่ว่า “ทำอะไรเหมือนงมงาย ทำให้สิ้นเปลืองเปล่า ภูตผีปีศาจมีจริงทุกสิ่งล้วนสมุดเหลวไหลทั้งสิ้น” ปริศนาเหล่านี้ มีคำตอบจากลูกหลานที่ยังให้ความศรัทธาเชื่อถือในการพระคัมภีร์ทางศาสนาอย่างแน่วแน่มั่นคง อีกประการหนึ่งก็ยังให้ความเคารพรักเมตตาสงสารญาติหรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั้นอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเขาเหล่านั้นคิดง่ายๆว่า  ความสิ้นเปลืองทั้งหมดในวันนี้ 1 วันเพื่อญาติหรือบรรพบุรุษผู้น่าสงสารไม่ได้ทำให้ลูกหลานถึงกับล้มละลายอย่างแน่นอน เพราะทุกคนต่างยินดีและเต็มใจที่แสวงหาสิ่งที่ปู่ย่าตายายเคยชอบมาจัดเตรียมไว้อย่างเต็มที่ ภายหลังเมื่อส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นกลับแล้วลูกหลานก็สามารถนำอาหารมาเลี้ยงดูร่วมรับประทานกันได้ถือว่าเป็นอาหารมงคลที่ปู่ย่าตายายมอบไว้ให้ลูกหลานพร้อมกับคำอวยพร

           ส่วนข้อที่ว่า “ไม่ทำไม่ได้หรือ?” ตอบว่า “ได้เหมือนกัน” ถ้าลูกหลานกลุ่มใดเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ สามารถทำจิตใจให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวหวาดระแวงว่า จะต้องคำสาปจากบรรพบุรุษอันจะพลอยทำให้ชีวิตไม่สงบสุข  ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของลูกหลานรุ่นใหม่ของแต่ละตระกูล ส่วนมากแล้วไม่กล้าเสี่ยงแม้ว่าจะมองไม่เห็นเป็นรูปธรรม เพราะอุบัติภัยในโลกมนุษย์นี้ มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลาและรุนแรงร้ายกาจกว่าสมัยโบราณหลายเท่านัก ลูกหลานที่ต้องเดินทางไกลไปประกอบอาชีพเสี่ยงโชคยังต่างแดน ต่างจังหวัด ตามโรงงานอุตสาหกรรม รับจ้างทั่วไป หรือเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตในทะเลมหาสมุทรก็มากมาย ล้วนต้องการขวัญกำลังใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ขอให้มีช่องทางประกอบอาชีพมีรายได้เลี้ยงชีวิตจุนเจือครอบครัวให้สามารถดำรงชีพอยู่จนมีโอกาสได้กลับมาพบกันในรอบปีของเทศกาลสารทอีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นพรอันประเสริฐ สำหรับพวกเขา ถ้าจะถามว่า “แล้วสังคมได้สาระอะไรจากพิธีแซนโฎนตานี้บ้าง?” ก็ตอบได้ว่า สิ่งที่สังคมได้รับนั้นไม่สามารถจะประเมินได้โดยมาตราตวงวัดชนิดใดทั้งสิ้น ด้วยเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นในดวงจิตอันละเอียดอ่อนของลูกหลานเองพร้อมไปด้วยคุณลักษณะที่สังคมอื่นสัมผัสได้ยาก อาจจะมองผ่านเลยไปกลายเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ โดยแท้จริงนั้นสาระสำคัญของวิธีการนี้ได้สะท้อนให้เห็นคุณธรรมความกตัญญูรู้คุณของบรรพบุรุษในสายตระกูล ทั้งทางตรงและโดยอ้อม โดยตรง หมายถึง ผู้สืบทอดสายโลหิต โดยอ้อม หมายถึง ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในภายหลัง เช่น ลูกเขยลูกสะใภ้ เป็นต้น นอกจากสังคมจะได้รับรู้ถึงคุณธรรมความกตัญญูที่ถูกปลูกฝังสืบทอดเชื่อมโยงมาอย่างเหนียวแน่นไม่ขาดสายแล้ว ยังมีคุณธรรมพิเศษควบคู่กันมาอีกคู่หนึ่งซึ่งถือว่าเป็นคุณธรรมที่ค้ำจุนโลกคือความเมตตาสงสาร และความเวทนาอาทรห่วงใยไม่อยากให้บรรพบุรุษเหล่านั้นผิดหวังโศกเศร้าเสียใจ ความรู้สึกที่ดีงามเหล่านี้เองที่ผลักดันให้เกิดภาพรวม ตามที่ปรากฏในสายตาของสังคมท้าทายยุคสมัยและกาลเวลาอย่างเด็ดเดี่ยวมั่นคงประกาศเอกราชเฉพาะตัวให้สังคมต้องยอมรับโดยไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนได้ ดังนั้น เราจึงจะมองเห็นภาพเขาเหล่านั้นเข้าไปในเมือง เพื่อจับจ่ายซื้อหาสิ่งของต่างๆเตรียมไว้สำหรับพิธีแซนโฎนตา โดยเฉพาะกล้วย นั้นจะเป็นธัญพืชที่สำคัญที่เขาจะนำไปแปรรูปเป็นข้าวต้ม ขนมชนิดต่างๆ ประชาชนที่อยู่ตามหมู่บ้านที่ห่างไกลและมีฐานะยากจนไม่มีเงินทองที่จะซื้ออะไรได้นั้น อย่างน้อยก็ขอให้มีกล้วยน้ำว้าสุกสำหรับห่อข้าวต้มต่างๆใส่สำรับ พร้อมด้วยไก่ย่าง ปลาย่าง เคียงน้ำพริกถ้วยเล็กเท่านั้น ลูกหลานก็ยังพอใจจะทำให้บรรพบุรุษของตนได้ ซึ่งเมื่อถึงเทศกาลแซนโฎนตา จะมีรถขนกล้วยทุกชนิดบ่ายหน้าเข้าสู่ตลาดอำเภอขุขันธ์ อย่างมากมาย และต่อเนื่อง และพบว่า มีกล้วยนานาชนิด กองเป็นภูเขาเลากา แล้วยังขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีกต่างหาก นั่นคือ สิ่งที่สังคมได้รับจากการสืบสานประเพณีนี้โดยตรง

ขั้นตอนพิธีการเซ่นไหว้โฎนตาและไปทำบุญที่วัด
วันแรม 13 ค่ำ เดือนสิบ 
          ชาวบ้านจะเริ่มทำขนม  ข้าวต้มต่างๆให้เรียบร้อย   รวมทั้งการจัดเตรียมอาหารที่ปู่ย่าตายายชอบ ก็จะจัดเตรียมซื้อเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ ในสมัยก่อนนั้นทุกบ้าน จะต่างคนต่างทำของใครของมัน  แต่ปัจจุบันนี้สะดวกขึ้น  เพราะมีผู้รับทำขนม  ข้าวต้มต่างๆตามสั่งแต่ราคาจะแพงกว่าปกติ   เพราะแม่ค้าต้องทำส่งหลายราย จึงเรียกค่าแรงแพงเป็นพิเศษ  แต่ผู้สั่งก็ยังยินดีจ่าย  เพราะสะดวกกว่าทำเองหลายเท่านัก 



            ประเภทขนมต่างๆ ที่จะขาดไม่ได้  ได้แก่  ขนมเทียน ทั้งไส้เค็มและไส้หวาน    ไส้หวานจะต้องใช้มะพร้าวทึนทึก แต่ในปัจจุบันนี้บางคนก็ใช้ ถั่ว  เพราะสะดวกกว่า นอกจากนี้ก็มีขนมเข่ง  ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตรุษจีนด้วย   ในปัจจุบันนี้ก็มีขนมหลากหลายให้เลือกซื้อไปเพิ่มเติม ข้าวเม่า   ข้าวกระยาสารท  ก็ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน 
            ประเภทข้าวต้ม ได้แก่ ข้าวต้มหมู   ข้าวต้มกล้วย  ข้าวต้มด่าง  ข้าวต้มมะพร้าว(ใช้กะทิสดคลุกข้าวสารเหนียวที่แช่น้ำพอนิ่มเคล้าเกลือให้พอดีแล้วห่อด้วยใบมะพร้าว)
            ประเภทผลไม้  เผือก มัน  ได้แก่  กล้วยสุกชนิดต่างๆ  ทั้งกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่  กล้วยหอม  เผือกต้ม มันต้ม   ข้าวโพดต้ม  อ้อยควั่น  ส้มโอ  และผลไม้อื่นตามฤดูกาล  ในปัจจุบันนี้แม่ค้าได้จัดใส่ถุงรวมกันขายในราคาถุงละ 10 บาท  ก็ช่วยให้ความสะดวกแก่ผู้ที่มีเบี้ยน้อยหอยน้อย ได้มีโอกาสซื้อหาผลไม้ต่างๆไปเพื่อใส่สำรับแซนโฎนตาของตนด้วย
             ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ต้องเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรม 13 ค่ำให้ครบถ้วนบริบูรณ์

วันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ 
      พอเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งเป็นวันประกอบพิธี เจ้าบ้านจะเตรียมปูลาดอาสนะด้วยที่นอนนุ่มปูทับด้วยผ้าขาว   แล้วจัดวางเครื่องบัดพลีบำบวงทุกอย่างที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยเป็นหมวดหมู่ นับตั้งแต่ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียวใส่ขันใบใหญ่ ตั้งไว้เป็นประธานข้างประตูทางเข้า  จะมีขันใส่น้ำลอยกลีบดอกไม้สำหรับปู่ย่าตายายจะได้ล้างหน้าล้างตา   ล้างมือ  ล้างเท้า แล้วสวมใส่ผ้าผ่อนตามสบายที่ลูกหลานจัดใส่พานเตรียมไว้ให้ พร้อมด้วยเครื่องหอมกระแจะจันทน์ เช่น น้ำอบไทยแป้งหอม  และขมิ้นผง  เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมี สร้อยถนิมพิมพาภรณ์ ให้ท่านเลือกประดับตามอัธยาศัย  ถัดจากนั้นไปก็จะเป็นข้าวต้ม   ขนม   ผลไม้  และสำรับกับข้าวครบเครื่อง    ส่วนเครื่องดื่มนานาชนิดพร้อมด้วยแก้วนั้นจะตั้งเรียงไว้หน้า   ซึ่งจะมีทั้งดีกรีอ่อนแก่ตามรถตามรสนิยมของลูกหลานเองด้วย  เพราะลูกหลานเตรียมตัวเป็นลูกศิษย์ของโฎนตาอย่างเต็มที่   และถือเป็นโอกาสอันดีที่สมาชิกในครอบครัว ลูกหลาน หรือพี่พี่น้องน้องจะมีโอกาสได้พบหน้ากันพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้ง  ที่จะได้ร่วมรับประทานทานอาหาร และกินดื่มร่วมกัน  ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ทำให้หัวหน้าครอบครัว และลูกหลานทุกคน มีความสุขมีความสบายใจ  อิ่มใจและปลื้มใจเป็นพิเศษ


          เมื่อตั้งเครื่องเซ่นไหว้พร้อมแล้ว   ในช่วงที่รอเวลาก็จะมีลูกหลานที่เกี่ยวดอง ทยอยนำข้าวปลา ขนมนมเนยมาร่วมไหว้ปู่ย่าตายายด้วย  ของเซ่นไหว้ก็จะยิ่งอุดมสมบูรณ์ตามจำนวนสมาชิกในแต่ละครอบครัวแต่ละตระกูล  สำหรับในหมู่บ้านตำบลที่ห่างออกไปโดยรอบของอำเภอขุขันธ์ ลูกหลานก็จัดเตรียมอาหารคาว หวาน และจัดวางสำรับเซ่นไหว้ทั้งหมดลงในกระเฌอ(កញ្ជើ) และต้องนำกระเฌอจูนโฎนตา(កញ្ជើជូនដូនតា) หรือกระเฌอเบ็ณฑ์ (កញ្ជើបិណ្ឌ)ไปส่งที่บ้านพ่อแม่ของตน​ หรือบรรพบุรุษ เรียกว่า​  จูนกัญเจอเบ็ณฑ์ (ជូនកញ្ជើបិណ្ឌ)

         พอถึงเวลา 17.00 น.  ผู้เป็นประธานของตระกูลก็จะเรียกชุมนุมลูกหลานให้มานั่งพร้อมหน้ากัน แล้วประธานก็จะจุดธูปเทียนปักที่เชิงเทียน   ส่วนธูปจำนวนหนึ่งก็ปักตามเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆจนครบ   จากนั้นประธานก็นำลูกหลาน กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยพร้อมๆกัน   เมื่อจบคำบูชาพระรัตนตรัยแล้ว   ประธานก็ตั้งนะโม 3 จบแล้วสวดชุมนุมเทวดาให้ท่านลงมารับทราบเป็นสักขีพยานในการพิธีแซนโฎนตาของลูกหลานในครั้งนี้   พร้อมทั้งอนุโมทนาสาธุในมุทิตาจิตอันยิ่งใหญ่ของลูกหลานในครั้งนี้ ถัดจากนั้นผู้เป็นประธานก็จะเริ่มรินน้ำสะอาดลงในภาชนะเป็นปฐม พร้อมทั้งกล่าวอัญเชิญดวงวิญญาณของปู่ย่าตาทวดทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วทุกคนโดยระบุชื่อและนามสกุล  สำหรับคณะญาติที่นั่งแวดล้อมก็จะช่วยกันเรียกขานเท่าที่จะจำชื่อได้ ส่วนที่จำชื่อไม่ได้ก็จะระบุบรรพบุรุษรวมเรียกว่า โฎนตา  ซึ่งหมายถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วทุกรุ่นทุกวัย  นั่นเอง  ญาติๆที่มาร่วมพิธีก็จะผลัดเปลี่ยนกันเข้ากรวดน้ำพร้อมทั้งกล่าวเชิญ “โฎนตา” ให้มารับเครื่องสักการะบูชาทั้งหลาย ที่ลูกหลานได้ตกแต่งไว้ให้โดยทั่วกัน    พร้อมทั้งพรรณาชื่อของผลไม้  อาหารคาวหวานต่างๆ ที่ปู่ย่าตายายเคยชอบ  ว่าลูกหลานได้ตระเตรียมไว้ให้แล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ขอเชิญโฎนตาทุกท่านได้เข้ามารับรู้รับทราบและรับเอาเป็นสมบัติทิพย์ของทุกท่านให้อิ่มเอมเปรมปรีดาสมความปรารถนาของทุกท่านเถิด
      การกรวดน้ำ ในพิธีตอนนี้จะเป็นพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงคล้ายๆกันกับการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล หลังจากการทำบุญทั่วไป  นั่นเอง   แต่เป็นการเรียกชื่อจำเพาะเจาะจงให้ญาติ   หรือบรรพบุรุษเหล่านั้นได้มารับเครื่องกระยาหารทั้งปวงจากลูกหลานโดยตรงเท่านั้น    การกรวดน้ำลงภาชนะหน้าเครื่องเซ่นไหว้ในพิธีนี้  จะทำประมาณ 2 - 3 ครั้ง โดยประมาณว่าญาติแต่ละคนต่างก็เดินทางมาจากคนละทิศคนละทาง หรือจะคนละภพภูมิ ระยะทางใกล้ไกลไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น  ลูกหลานจึงจะต้องเรียกเชิญอีก 2 - 3 ครั้ง เพื่อไม่ให้ผู้ที่เดินทางมาถึงทีหลังเพื่อนเกิดความเก้อเขินกระดากอาย      ก็คงจะอนุมานเอาจากการดำเนินชีวิตของคนเราในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน เป็นบรรทัดฐานนั้นเอง    จากนั้นก็จะทิ้งช่วงระยะหนึ่ง กะว่าโฎนตาอิ่มหนำสำราญทั่วหน้ากันแล้ว    จึงกรวดน้ำอีกครั้ง เป็นการลาสำหรับ  บอกให้ปู่ย่าตายายล้างมือ  ล้างปาก  เคี้ยวหมาก   สูบบุหรี่ให้สบายอกสบายใจแล้วจึงค่อยตามลูกหลานไปวัด    เพื่อรับศีลและฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้น ก็ถอยสำรับกับข้าวลงมาเลี้ยงดูกันเอง
            สำหรับตอนเย็นของวันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ เจ้าบ้าน หรือผู้ปกครอง จะต้องเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ในพิธีภาคกลางคืน อีก 2 รายการดังนี้
        1. บายเบ็ณฑ์ (បាយបិណ្ឌ /หรือ បាយបិន) โดยเย็บกระทงเล็กๆ ประมาณ 10 - 20 กระทงใส่สิ่งของทุกชนิด ที่รับประทานได้เตรียมไว้อีกด้านหนึ่ง นอกจากนี้  ก็เย็บกระทงใบใหญ่สัก 2 ใบ  บรรจุขนม  ผลไม้  หมากพลู  บุหรี่ และภาชนะใส่น้ำไปตั้งไว้นอกบ้าน หรืออาจจะใช้ไม้กระดานแผ่นเล็กๆ ตอกติดกับไม้ที่เป็นหลักหรือจะวางบนต้นไม้ก็ได้ สำหรับผีที่ไม่มีญาติแล้วจุดเทียนธูป บอกกล่าวเชิญชวนให้เข้ามาดื่มกินโภชนาอาหารต่างๆให้อิ่มหมีพีมัน  อย่าได้น้อยอกน้อยใจเลย เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วก็ให้ไปวัดรับศีลฟังธรรม และอำนวยอวยพรให้ลูกหลานมีความสุขความเจริญ มีความวัฒนาถาวร สืบไป  หรืออะไรทำนองนี้   ซึ่งสุดแท้แต่จะสรรหาถ้อยคำที่เป็นมงคลที่เราต้องการ   อีกนัยหนึ่งก็คือ เราอวยพรให้ตัวเรา  นั่นเอง

           2. บายบัตตบูร หรือเบิดตะโบร(បាយបត្តបូរ) หรือบายตะเบิดตะโบร (បាយតបិត្តបូរ)​ โดยจัดของลงภาชนะอีกใบหนึ่ง อาจจะใช้ชาม หรือกะละมังใบขนาดย่อมก็ได้ โดยจัดให้มีถ้วยใบหนึ่งใส่ไว้ตรงกลางเย็บกรวยด้วยใบตอง ข้างในกรวยใส่ข้าวเหนียวนึ่งหรือต้มสุกแล้วปิดปากกรวยด้วยเงินเหรียญ   สมัยแต่ก่อนเป็นเหรียญ 1 บาทปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 5 บาท 10 บาท ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป   แล้วนำกรวยวางลงในถ้วย   ยอดกรวยคล้องด้วยผ้าฝ้าย 1 ใจ รอบๆถ้วยที่ใส่กรวยก็จัดวางกล้วยน้ำว้าสุก 1 หวี ข้าวต้มด่าง 1 พวง ข้าวต้มมัดหรือข้าวต้มอื่นๆ พร้อมด้วยขนมในพิธีอีกอย่างละ 2 - 4 อัน และที่ขาดไม่ได้คืออาหารแห้ง  เช่น  ไก่ย่าง  ปลาหรือหมูย่าง แล้วแต่ใส่ลงไปด้วย 2 รายการนี้เตรียมไว้ให้เรียบร้อย ตั้งแต่ตอนเย็นก่อนไปวัด
 


          ในตอนเย็น และตกดึกสงัด(ประมาณ 02.00 น.) ของวันแรม 14 ค่ำเดือนสิบ   หัวหน้าครัวเรือนหรือผู้ปกครองก็จะพาลูกลูกหลานมาจับ “บายเบ็ณฑ์” ก็คือข้าวเหนียวสุก 1 ถ้วยที่ หัวหน้าครอบครัวได้เตรียมไว้ บรรจงจับข้าวเหนียวสุขเป็นก้อนเล็กๆใส่ลงในกระทงเล็กๆที่เตรียมไว้ให้ทุกคน โดยการขานชื่อญาติที่ล่วงลับไปแล้วทุกชื่อ พร้อมๆไปกับการหยิบข้าวเหนียวลงไปในกระทงทุกครั้ง  สำหรับเด็กๆก็เพียงแต่ให้จับข้าวใส่ลงในกระทง แล้วให้ผู้ใหญ่เรียกชื่อแทน   ระหว่างนั้น ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือผู้ปกครอง ก็จะกรวดน้ำบอกกล่าวอีกครั้งหนึ่ง   ให้ปู่ย่าตายายทั้งหลายมารับเอาผลานิสงฆ์ที่ลูกหลานได้ตั้งใจจัดทำให้ในครั้งนี้โดยทั่วกัน  เมื่อท่านได้รับแล้ว  ก็ขอให้ท่านจงอำนวยอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขสวัสดีมีชัย   ปราศจากภัยพิบัติอันตรายทั้งปวง   จะประกอบกิจการงานใดก็ขอให้เจริญรุ่งเรือง    ปราศจากปัญหาอุปสรรค จะย่าตราไปทางทิศใดทั้งใกล้และไกลก็ขอให้ปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อเทอญฯ

สำหรับกลางคืนของวันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ เวลาประมาณ ตี 4 - 5 ก่อนจะเข้าสู่เช้าวันใหม่ คือวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ หรือเบ็ณฑ์ธม (បិណ្ឌធំ) หรือภาษาไทยเรียก วันสารทใหญ่ ... 
         เมื่ออวยพรลูกหลานเสร็จแล้วก็ให้ไปวัดอีกครั้งหนึ่งเพื่อแห่ข้าวกระยาสารท หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า บายบัตตบูร หรือเบิดตะโบร(បាយបត្តបូរ) หรือบายตะเบิดตะโบร (បាយតបិត្តបូរ)​  และบายเบ็ณฑ์ (បាយបិណ្ឌ /หรือ បាយបិន)  พร้อมลูกหลานในตอนตี 4 - 5 ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็จะก็จะได้ยินบ้านใกล้เรือนเคียงกู่เรียกกันเกรียวกราว  แล้วต่างก็ประคองภาชนะทั้งสองอย่างที่เตรียมไว้แล้วนั้นไปวัด   โดยไม่ลืมที่จะเรียกโดนตามไปด้วย ว่า “โมเยอ โฎนตา เติว เวือต เติววา…..” 


       เมื่อไปถึงพร้อมหน้ากันแล้ว ประธานในพิธีก็จะประกาศบอกเริ่มพิธี   ทุกคนก็จะจุดเทียนปักในภาชนะของตน ไหว้พระรับศีลแล้วก็ทำพิธีประทักษิณด้วยการประคองภาชนะของตนแห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ แล้วจึงถวายพระสงฆ์เฉพาะสิ่งของที่อยู่ในภาชนะนั้น    


       ส่วนกระทงเล็กๆ 20 - 30 กระทงนั้น เมื่อพระสวดมาติกาบังสุกุลและอนุโมทนาให้แล้วก็จะนำกลับไปใส่ตามหัวไร่ปลายนา  เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารต่อไป 
       หลังจากนั้นก็กลับมาเตรียมข้าวปลาอาหารไปใส่บาตรเลี้ยงพระที่วัด  ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของพิธี ในช่วงนี้ทางวัดเองก็จัดให้มีการสวดมาติกาบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้อดีตเจ้าอาวาสผู้มีคุณูปการต่อหมู่บ้าน ต่อชุมชนร่วมกับบรรพบุรุษท่านอื่นด้วยในคราวเดียวกัน  
        หลังจากเสร็จพิธีแล้ว   ก็จะเริ่มใส่บาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรตามลำดับ     ต่อจากนั้น พระสงฆ์ก็จะแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับความเป็นมาของเทศกาลสารท ตลอดจนอานิสงส์และโทษของการ จัดทำและไม่ได้จัดทำตามข้อตามที่ได้กล่าวถึงในตอนต้นโดยสรุปแล้วในหัวข้อที่มาของศรัทธาอันมั่นคง เมื่อจบการแสดงธรรมเทศนาแล้วญาติโยมถวายปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์  แล้วพระสงฆ์ก็อนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธีการทางพระศาสนาเพียงเท่านี้    แต่ทางบ้านจะยังไม่เครื่องเซ่นไหว้ในวันนั้น    ผู้เฒ่าผู้แก่บอกให้ตั้งไว้ก่อนสัก 1 - 2 วันอ้างว่า ปู่ย่าบางท่าน  มาถึงหลังเพื่อนอาจจะยังต้องการข้าวปลาอาหารอยู่ก็ให้รอไปก่อน 



        หลังจากครบวันเวลาแล้วลูกหลานก็เตรียมส่งโฎนตากลับบ้าน   โดยการจัดกับข้าวธรรมดาเซ่นบอกให้ปู่ยาตายายกลับสู่สถานที่อยู่โดยให้นำเอาโรคาพยาธิต่างๆไปด้วย   ทิ้งไว้แต่ความเป็นสิริมงคล   ความสุข  ความเจริญวัฒนาถาวรให้แก่ลูกหลาน   แล้วก็นำเอาเสบียงอาหารส่วนหนึ่งใส่ลงในเรือให้ปู่ย่าตายายนำติดตัวไปด้วย   จากนั้น  จึงนำไปลอยน้ำตรงที่มีน้ำไหล   ส่วนเรือนั้นใช้กาบกล้วยหักมุมหัวท้ายคล้ายกระทงแล้วกรึงด้วยสลักไม้ไผ่  จัดทำหุ่นสมมุติวางไว้หัวท้ายแทน “โฎนตา” ก่อนจะปล่อยเรือลงน้ำก็จะจุดธูปเทียนปักไว้กลางลำเรือบอกกล่าว “โฎนตา” ให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ แล้วค่อยกลับมาพบลูกหลานใหม่ในปีต่อไปเป็นอันเสร็จพิธีการ“แซนโฎนตา”  โดยสมบูรณ์แต่เพียงเท่านี้

หมายเหตุ คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับประเพณีแซนโฎนตา
พิธี  น. งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความขลังหรือความเป็นสิริมงคลเป็นต้น เช่น พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีมงคลสมรส พิธีประสาทปริญญา (ป., ส. วิธิ)​ ตรงกับคำภาษาเขมรว่า ពិធី​​ อ่านว่า /ปิ-ที/


ขนบ  [ขะหฺนบ] น. แบบอย่าง, แผน, ระเบียบ (เป็นคำยืมจากภาษาเขมรว่า ខ្នប់ อ่านว่า / คน็อบ /​​ แปลว่า  สิ่งที่อยู่ในห่อ/หีบห่อ ที่หมก)


ธรรมเนียม [ขะหฺนบทำ-] น. แบบอย่างที่นิยมกันมา ตรงกับคำภาษาเขมรว่า ទំនៀម อ่านว่า /ตม-เนียม/  มักเขียนประกอบกันกับคำว่าขนบ เป็น “ขนบธรรมเนียม” ตรงกับคำภาษาเขมรว่า ទំនៀមទម្លាប់​ อ่านว่า /ตม-เนียม-ตม-เลือบ/


ประเพณี  น. จารีตประเพณีที่วางเป็นระเบียบแบบแผนไว้แล้ว​ ตรงกับคำภาษาเขมรว่า ប្រពៃណី​ อ่านว่า /ปรอ-เป็ย-นี/


จารีต [-รีด] น. ประเพณีที่ถือสืบต่อกันมานาน (ป. จาริตฺต; ส.​จาริตฺร)
ตรงกับคำภาษาเขมรว่า​ ទំនៀមទម្លាប់​ อ่านว่า /ตม-เนียม-ตม-เลือบ/


จารีตประเพณี น. ประเพณีที่นิยมและประพฤติกันสืบมา ถ้าฝ่าฝืนถือว่าเป็นผิดเป็นชั่ว ตรงกับคำภาษาเขมรว่า​ ទំនៀមទម្លាប់ប្រពៃណី​ อ่านว่า /ตม-เนียม-ตม-เลือบ-ปรอ-เป็ย-นี​ /


แซน ก. ใส่โภชนาหารอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ หรือใส่กระยาบูชาเพื่อเซ่นไว้แล้วกล่าวบทสวดอ้อนวอนดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ หรือภูตผีปีศาจ ตรงกับคำภาษาเขมรว่า​ សែនอ่านว่า /แซน​ /
โฎนตา น. ย่ายายและปู่ตา , บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ในคำภาษาเขมรพบใช้ 2 คำ ได้แก่ คำว่า​ ដូនតាอ่านว่า /โดน-ตา​ /  และ បុព្វបុរស อ่านว่า /บุบ-เปียะ-โบะ-เราะฮฺ​ / น.บรรพบุรุษ
แซนโฎนตา น. การกระทำพลีกรรมสำหรับบุพเปรตซึ่งเป็นผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว สำหรับในทางพระพุทธศาสนาใช้พิธีกรรมการทำบุญทักษิณานุปทานกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลส่งไปให้บุพเปรตเหล่านั้น ส่วนลัทธิอื่นๆนอกเหนือจากพระพุทธศาสนา ใช้วิธีเซ่นกรวดน้ำส่งไปให้  ในคำภาษาเขมรพบใช้ 3 คำ ได้แก่ คำว่า​ សែនដូនតា​ อ่านว่า /แซน-โดน-ตา​ / , បុព្វ​បេត​ពលី อ่านว่า /บุบ-เปียะ-เป-ตะ-ปลี​ /  และ បុណ្យភ្ជុំបិណ្ឌ​ อ่านว่า /บน-พจุม-เบ็น​ / บางครั้งอาจพบใช้คำ2 คำมารวมเข้าด้วยกันว่า បុណ្យភ្ជុំបិណ្ឌសែនដូនតា เป็นต้น

ฎาร น. หมายถึง การทำบุญอย่างหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา จัดเป็นบุญทักษิณานุปทาน ​โดยทายกจะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์สวดสตฺตบฺปกรณาภิธมฺม และติโรกุฑฺฑสูตฺร แล้วก็จะมีการทำบุญตักบาตร ต่อจากนั้นก็จะมีพิธีอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้บุพเปตบุคคลที่ได้ล่วงลับไปอยู่ยังปรโลกแล้ว ตรงกับคำในภาษาเขมรว่า​ ដារ​ อ่านว่า /ดา / สำหรับภาษาท้องถิ่นบ้านเราจะออกเสียงพยัญชนะท้าย ร รัวๆ ว่า / ดาร*/ ตัวอย่างคำ เช่น ធ្វើបុណ្យដារ (ทำบุญฎาร) , និមន្តលោកដារ(นิมนต์พระสวดฎาร) เป็นต้น หรือจะอธิบายสั้นๆให้เข้าใจง่ายว่า ฎาร คือ ทำบุญอุทิศ/ทักษิณานุปทาน หรือ บังสุกุล ให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จัดเป็นพลีกรรมอย่างหนึ่ง เรียกว่า ปุพเปตพลี

บิณฑ น. ก้อนข้าว. (ป., ส. ปิณฺฑ) ,การปั้นเป็นก้อน,การเลี้ยงชีวิต ชนชาวเขมรท้องถิ่นขุขันธ์ส่วนใหญ่ ใช้คำนี้เพื่อเรียก วิธีการทำกุศลทานอย่างหนึ่งตามประเพณีของท้องถิ่น ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือนภัทรบทหรือภาษาเขมรเมืองขุขันธ์ เรียก ខែបិណ្ឌ​ หรือ ខែបិន อ่านว่า /แค-เบ็น/ แปลว่า เดือนสิบ ถึงวันแรม 14/หรือ15ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งในช่วงนี้ ชาวบ้านทุกคนในท้องถิ่นอีสานใต้บ้านเรา ต่างพากันไปรวมตัวกันเพื่อทำบุญที่วัดมิได้ขาด ในคำภาษาเขมรพบใช้ได้แก่ คำว่า​ កាន់បិណ្ឌ​ อ่านว่า /กัน-เบ็น​ / ,ដាក់បិណ្ឌ​ อ่านว่า /ดัก-เบ็น​ / และ បាយបិណ្ឌ /หรือ បាយបិន​ อ่านว่า /บาย-เบ็น/​ เป็นต้น

             งานบุญประเพณีแซนโฎนตานั้น เป็นกิจกรรมหลักในช่วงเทศกาลสารทเขมร โดยสารทเขมร​​ แบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ
​​​        1) เบ็ณฑ์ตู๊จ (បិណ្ឌតូច​)​ หรือ วันสารทเล็ก ตรงกับวันขึ้น 14 หรือ 15 ค่ำเดือน 10 จะเป็นเพียงการการนำข้าว​ ของไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลบรรพบุรุษโฎนตาที่วัด ไม่มีการเซ่นผีปู่ตาที่บ้าน
       ​​ 2) เบ็ณฑ์ธม(បិណ្ឌធំ)​ หรือ วันสารทใหญ่ ตรงกับวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันที่ชาวบ้านทุกครอบครัว ต้องมีการแซนไหว้บรรพบุรุษโฎนตาที่บ้าน และไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลบรรพบุรุษโฎนตาที่วัดใกล้บ้านกันทุกครอบครัวทุกปีมิได้ขาด

บายบตตฺบูร (ในภาษาเขมรเขียนว่า បាយបត្តបូរ --บตตฺบูร - บา.,สํ) หรือภาษาเขมรท้องถิ่นอีกสานใต้ปัจจุบันต่างออกเสียงเพี้ยนมาเป็นคำว่า บายตะเบิดตะโบร (បាយតបិត្តបូរ)​ หรือ เบิตตะโบรฺ(បើតត្បូរ) คือ ข้าวที่ทายกทายิกาประเคนบำรุงพระภิกษุสงฆ์เพิ่มเติม​ เพราะเกรงว่าพระภิกษุสงฆ์ขาดแคลนภัตตาหารสำหรับฉัน เราสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าวสำหรับทำบุญอุทิศให้วิญญาณบุพเปรตซึ่งได้ละจากโลกนี้ไปยังปรโลกแล้ว สำหรับภาษาเขมรขุขันธ์บ้านเรา บางท่าน ให้คำนิยามคำนี้สั้นๆว่า “อาหารสำหรับถวายพระ” หรือ “ข้าวกระยาสารท” ก็ถือเป็นอันว่าพูดถึงเรื่องเดียวกัน สำหรับบายตะเบิดตะโบร ที่ชาวบ้านเรามักนิยมทำกันในปัจจุบัน คือ มีข้าวเหนียวนึ่ง หรือข้าวจ้าวหุงใส่ถ้วย เอาน่องไก่ย่างปักตรงกลาง ใช้กรวยใบตองครอบ ปักเทียน 1 เล่ม ใส่ปัจจัยเป็นเงินทำบุญลงไปตามความศรัทธา

បាយបិណ្ឌ /หรือ បាយបិន อ่านว่า /บาย-เบ็น/​ ​​​ คือ ข้าว อาหารและสำรับเซ่นอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้เปรตทั้งที่เป็นญาติของเรา หรือไม่ใช่ญาติของเราเพื่อให้ได้มารับเอาส่วนกุศลที่เราได้อุทิศ  สำหรับภาษาเขมรขุขันธ์บ้านเรา บางท่าน ให้คำนิยามคำนี้สั้นๆว่า “ข้าวและสำรับเครื่องเซ่นไหว้อุทิศให้บรรพบุรุษ”


    สำหรับสาระสำคัญซึ่งเป็นที่มาของบายเบ็ณฑ์(បាយបិណ្ឌ /หรือ បាយបិន) นั้น ในตอนเย็น และตกดึกสงัด(ประมาณ 02.00 น.) ของวันแรม 14 ค่ำเดือนสิบ   หัวหน้าครัวเรือนหรือผู้ปกครองก็จะพาลูกลูกหลานมาจับ “บายเบ็ณฑ์ ”(បាយបិណ្ឌ /หรือ បាយបិន) ก็คือข้าวเหนียว​สุก หรือข้าวสุก 1 ถ้วยที่ หัวหน้าครอบครัวได้เตรียมไว้ บรรจงจับข้าวเหนียว​สุก หรือข้าวสุก เป็นก้อนเล็กๆ ใส่ลงในกระทงเล็กๆที่เตรียมไว้ให้ทุกคน โดยการขานชื่อญาติที่ล่วงลับไปแล้วทุกชื่อ พร้อมๆไปกับการหยิบข้าวเหนียว​สุก หรือข้าวสุกลงไปในกระทงทุกครั้ง  สำหรับเด็กๆก็เพียงแต่ให้จับข้าวเหนียว​สุก หรือข้าวสุกใส่ลงในกระทง แล้วให้ผู้ใหญ่เรียกชื่อแทน   ระหว่างนั้น ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือผู้ปกครอง ก็จะกรวดน้ำบอกกล่าวอีกครั้งหนึ่ง   ให้ปู่ย่าตายายทั้งหลายมารับเอาผลานิสงฆ์ที่ลูกหลานได้ตั้งใจจัดทำให้ในครั้งนี้โดยทั่วกัน  เมื่อท่านได้รับแล้ว  ก็ขอให้ท่านจงอำนวยอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขสวัสดีมีชัย   ปราศจากภัยพิบัติอันตรายทั้งปวง   จะประกอบกิจการงานใดก็ขอให้เจริญรุ่งเรือง    ปราศจากปัญหาอุปสรรค จะย่าตราไปทางทิศใดทั้งใกล้และไกลก็ขอให้ปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อเทอญ

ผู้เรียบเรียง :
- นางจันทร จันทรชิต บ้านเลขที่ 456 หมู่ที่ 6 ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33140 โทร.(045-671152)
- นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
ภาพประกอบจาก : นายบูรณะ โพธิ์อุดม เพจชุมชนฅนบ้านขนุน
พิมพ์และตรวจทาน :​ นายสุเพียร คำวงศ์  เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ โทร.098-5869569

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

เส้นสายแห่งกาลเวลา(Timeline)ทางประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ที่สำคัญและเกี่ยวกับเมืองขุขันธ์/ประเทศ/เมืองใกล้เคียง จังหวัดขุขันธ์ และอำเภอขุขันธ์ จากอดีตถึงปัจจุบัน


พุทธศตวรรษที่ 7 – 8 (ราว พ.ศ. 601 - 799)
- ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ – ๘ (ราว พ.ศ. 601 - 799) หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี กล่าวว่า ดินแดนแถบนี้ได้มีการติดต่อกับชาวอินเดีย เนื่องจากดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสินค้าที่ชาวอินเดียต้องการ คือ เครื่องเทศ ยางไม้หอม และไม้หอม เป็นต้น การติดต่อค้าขายนี้มีผลพวงที่ตามมา คือการติดต่อเผยแพร่ทางอารยธรรม มีทั้งที่ชาวอินเดียเป็นผู้นำมาเผยแพร่โดยตรง รับผ่านจากประเทศข้างเคียง และจากการที่คนในดินแดนนี้เดินทางไปศึกษาในอินเดีย และรับเอาอารยธรรม ความรู้ และตำราต่างๆ มาเผยแพร่

  พระเจ้าชคตศรีขัณฑเรศวร , พระเจ้าอยู่หัวอัญศรีราชปติวรมัม ,  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกันต็วนอัญศรีสูริยวรมัมเทพ , พระเจ้าชคตศรีพฤทเธศวร , พระเจ้าชคตศรีสิขเรศวร และศรีสกรมกำแสดงชี ทำพิธีบวงสรวงเฉลิมฉลองปราสาทพระวิหาร เมื่อมหาศักราช 959 ขึ้น 3 ค่ำ มาฆมาส ตรงกับพ.ศ.1580

พ.ศ. 1580
- พ.ศ.1580 (มหาศักราช 959) ราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 ชื่อเมืองขุขันธ์ ในอดีตยุคขอมเมืองพระนคร(សម័យអង្គរ)ปรากฎบนจารึกเขาพระวิหาร เรียกว่า ស្រុកស្តុកគោកខណ្ឌ  คลิก


พ.ศ. 1665
-​ มหาปราสาทนครวัด​​  สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 17 ตรงกับ พ.ศ. 1665  จุดประสงค์เพื่ออุทิศถวายแด่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์ และใช้เป็นสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

พ.ศ. 1879 นับถอยหลังขึ้นไป
- นับตั้งแต่ พ.ศ. 1879 ถอยหลังขึ้นไป เรียกว่า ยุคสมัยขอม หรือขอมโบราณ  และเรื่องราวในประวัติศาสตร์กัมพูชา นับตั้งแต่ราว พ.ศ. 1879 ลงมาถึงปัจจุบัน เรียกยุคสมัยเขมร  เพราะ ในราวปี พ.ศ. 1878 - 1879 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร หรือพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 แห่งเมืองพระนครหลวง   ได้เกิดการลุกฮือของชนชั้นทาสในเมืองพระนครหลวง   เนื่องจากการถูกบังคับกดขี่ใช้แรงงานหนักจากชนชั้นปกครองในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร (เอกสารเขมรระบุว่าทรงปกครองโดยไม่ชอบธรรม ทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุค) จนเกิดเหตุการณ์การปฏิวัติขอม  จากบันทึกของโจวต้ากวาน ทูตชาวจีนที่เข้ามาในเมืองพระนครหลวงในรัชสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 ได้บันทึกว่า ในเมืองมีทาสมากกว่านายทาส ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมทาสถึงกล้าลุกฮือขึ้นก่อจลาจลเพื่อปลดแอกจากชนชั้นปกครอง จากนั้นทาสได้ร่วมกันสังหารนายทาสจนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี พ.ศ.1879 ได้ปรากฏพระนามกษัตริย์พระองค์ใหม่พระนาม พระบาทศรีสุริโยพันธุ์ หรือพระเจ้าแตงหวาน (พ.ศ.1879-1883) โดยเฉลิมพระนามหลังจากเสวยราชสมบัติว่า พระบาทกมรเตง อัญศรีสุริโยพันธุ์ บรมมหาบพิตรธรรมิกมหาราชาธิราช (ภาษาเขมร: ព្រះបាទ​សម្ដេច​មហាបពិត្រ​ ​ធម្មិក​រាជា​ធិរាជ​ ​ជា​អង្គម្ចាស់​ផែនដី​ក្រុង​កម្ពុជា​ធិបតី ) และทรงรับพระนางจันทรวรเทวี (ภาษาเขมร: ព្រះ​នាង​ច័ន្ទតារាវត្តី​) อันเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 เป็นสมเด็จพระอัครมเหสี  ซึ่งกษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงนับถือพระพุทธศาสนา  และยกเลิกประเพณีการสร้างปราสาทหิน  เพื่อถวายแด่เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ฮินดู พระเจ้าแตงหวานเกิดและโตในอาณาจักรขอมโบราณในฐานะชนชั้นกสิกร   ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่บรรดาทาสชาวจามเลือกที่จะยกพระเจ้าแตงหวานขึ้นเป็นกษัตริย์  เพราะทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์จาม พงศาวดารกล่าวว่า  พระเจ้าแตงหวานทรงซัดพระแสงหอกลำแพงชัยถูกพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวรถึงแก่สวรรคตในปี พ.ศ. 1879 บรรดาขุนนางจึงยกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ซึ่งพระองค์ไม่ใช่คนในราชวงศ์  หรือเกี่ยวข้องกันกับกษัตริย์ในราชสกุลมหิธรปุระ และเป็นเรื่องยากที่บรรดาขุนนางที่ภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจะยกคนที่สังหารกษัตริย์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่    เว้นแต่มีการก่อกบฏยึดพระราชอำนาจขุนนางจึงจำยอมต้องสวามิภักดิ์

พ.ศ. 1893
- พ.ศ. 1893 อาณาจักร
กรุงศรีอยุธยา ถูกสถาปนาขึ้นครั้งแรก โดยพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก  ซึ่ง
มีข้อสันนิษฐานว่าอยุธยา น่าจะเป็นเมืองเดิมที่เคยมีอยู่มาก่อนแล้ว ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก บริเวณวัดพนัญเชิง เพราะเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 1893 และต่อมาเกิดโรคระบาดหนักทำให้พระเจ้าอู่ทอง ได้อพยพนำผู้คนข้ามแม่น้ำป่าสัก มาก่อร่างสร้างเมืองใหม่บริเวณหนองโสน หรือบึงพระรามในปัจจุบัน และสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้น ณ ที่แห่งนั้น


พ.ศ. 1974
- พ.ศ. 1974 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา ครองราชย์ พ.ศ.1967 - 1991) ได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองพระนครหลวง (นครธม) ในรัชสมัยพระธรรมาโศกราชได้ เพราะอยุธยาถือว่าเป็นญาติสายหนึ่งของเมืองพระนครหลวง  เมื่อมีอำนาจจึงพยายามขยายอำนาจกลับไป แล้วโปรดให้พระนครอินทร์เจ้า พระราชโอรสไปครองเมืองนครหลวงแทนในฐานะเมืองประเทศราช แล้วให้นำพระยาแก้ว พระยาไท พรอมทั้งพระประยูรญาติ เหล่าขุนนาง กับทั้งรูปหล่อพระโค สิงห์ สัตว์ต่าง ๆ กลับมากรุงศรีอยุธยาด้วย ทำให้อิทธิพลของเขมรในด้านการปกครอง ประเพณี ตลอดจนงานศิลปะมาปรากฏชัดในอยุธยาในเวลาต่อมา 

พ.ศ. 1976
- พ.ศ 1976 (ตรงกับรัชสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ เจ้าสามพระยา ราชวงศ์สุพรรณภูมิ-ครั้งที่ 2 แห่งกรุงศรียุธยาตอนต้น เริ่มครองราช พ.ศ.1967 -สิ้นสุดราชกาล พ.ศ.1991 )มีการบัญญัติกฎหมายเพิ่มเติมพระอัยการอาญาหวงห้ามหญิงชาวสยามแต่งงานกับคนต่างด้าว พ.ศ. 1976 ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะในช่วงนั้นคนต่างชาติเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาคงมีการตั้งถิ่นฐานครอบครัวและคลังสินค้ากันในกรุงศรีอยุธยา   จึงเป็นไปได้ที่อาจจะมีหญิงชาวสยามแต่งงานกับคนต่างด้าวบ้าง ด้วยความเป็นห่วงว่าหญิงชาวสยามจะเอาความลับเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองไปแจ้งให้กับสามีคนต่างด้าวทราบ  และเกรงว่าหญิงไทยที่แต่งงานกับคนต่างด้าวและบุตรที่เกิดในภายหลังจะเข้ารีตไปนับถือศาสนาอื่น  จึงมีตรากฎหมายเพิ่มเติมขึ้นมาว่า  “...และไพร่ฟ้าขอบขัณฑเสมาทุกวันนี้ประกอบด้วยราคะโทสะโมหะโลภะ  มิได้กลัวแก่บาปละอายแก่บาป  เห็นนานาประเทศฝารั่ง อังกริด วิลันดา คุลา ชวา มลายู แขก กวย แกว ประกอบด้วยทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก และไทมอญวันนี้ ยกลูกสาวหลานสาวให้เป็นเมียมิจฉาทิฐิถือผิดเป็นชอบแล้วละฝ่ายสัมมาทิฏฐิเสีย   แลบุตรอันเกิดมานั้นก็ถือเพศไปตามพ่อและพากันไปสู่อบายภูมิเสีย  แลมันจะเอากิจการบ้านเมืองไปแจ้งแก่นานาประเทศฟัง...จึงมีพระราชโองการ...ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบัญญัติไว้ว่า แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าราษฎรข้าแผ่นดินชายหญิงไทยมอญ บมิยำบมิกลัวพระราชอาญาพระราชกำหนดกฎหมาย  เห็นพัสดุเข้าของเงินทองมิจฉาทิฐิอันมาค้าขายแต่นานาประเทศนอกด่านต่างแดน เลยยกลูกสาวหลานสาวให้เป็นเมียฝรั่ง อังกฤษ วิลันดา ชวา มลายู อันต่างศาสนาและให้เข้ารีตอย่างมิจฉาทิฐินอกศาสนา  ท่านว่าผู้นั้นเป็นเสี้ยนหนามในแผ่นดิน 

พ.ศ. 1981
- พ.ศ. 1981 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา) จึงทรงให้รวบรวมหัวเมืองเหนือที่เคยแยกการปกครองเป็นสองเขตนั้น รวมเป็นเขตเดียวกัน แล้วแต่งตั้งพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระราชเทวี (ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระมหาธรรมราชาที่ 2) เป็นสมเด็จพระราเมศวรเจ้า ให้ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเพื่อกำกับดูแลหัวเมืองเหนือทั้งหมด ทำให้ราชวงศ์พระร่วงหมดอำนาจในปกครองสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยจึงค่อย ๆ ถูกรวมกับกรุงศรีอยุธยา และอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยาโดยสมบูรณ์ในที่สุด

พ.ศ. 2013
- พ.ศ.2013 ภายหลังจากพระเจ้านารายณ์ราชา แห่งเมืองจตุรมุข หรือที่กัมพูชาเรียก ព្រះបាទនារាយណ៍រាជា (ឆ្នាំ១៤៦៣-ឆ្នាំ១៤៦៩ ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ ลงในปี ค.ศ.1469/พ.ศ.2012  พระเจ้าศรีราชา รามาธิบดี หรือ ព្រះបាទស្រីរាជា (ឆ្នាំ១៤៦៩-ឆ្នាំ១៤៨៥ ได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาในปี ค.ศ.1470/พ.ศ. 2013 พระเจ้าศรีราชารามาธิบดี ได้นำทัพออกสงครามเพื่อชิงดินแดนที่เคยอยู่ในการปกครองเดิมของตนคืนจากกรุงศรีอยุธยา  ชิงได้ เมืองตราจ(ตราด) จันทบุรี ระยอง ชลบุรี  สตึงเจริว(ฉะเชิงเทรา) ปัจจิมบุรี(ปราจีนบุรี) นางรอง นครราช(โคราช) บุรีรัมย์ สุรินทร์ และโคกขัณฑ์ (ชื่อเมืองขุขันธ์ ในสมัยนั้น) ดังนั้น จึงทำให้เมืองโคกขัณฑ์ ในสมัยนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าศรีราชา รามาธิบดี หรือ ព្រះបាទស្រីរាជា 15 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2013-2028) 

พ.ศ. 2028

- พ.ศ.2028 – 2047 เมืองโคกขัณฑ์(ชื่อเมืองขุขันธ์ ในสมัยนั้น) อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าธรรมราชา หรือ ព្រះបាទធម្មរាជា (ឆ្នាំ១៤៧៤-ឆ្នាំ១៥០៤)​​  แต่อยู่ในฐานะเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา เป็นระยะเวลา 19 ปี
 

พ.ศ. 2047
- พ.ศ. 2047 – 2099 เป็นระยะเวลา 52 ปี เมืองโคกขัณฑ์ อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของราชสำนักเขมรกรุงตวลบาสาน – กรุงลงแวก ซึ่งรัชสมัยพระศรีสุคนธบท​แห่งกรุงตวลบาสาน​​(ព្រះស្រីសុគន្ធបទ​ ​ គ.ស.១៥០៤)​ เมื่อ พ.ศ.2048 ชื่อ “เมืองโคกขัณฑ์”​(គោកខណ្ឌ) เขียนเป็น “เมืองโคกขัน” (គោកខាន់) ดังข้อความในประวัติศาสตร์ ข้างล่างนี้



พ.ศ. 2051
- พ.ศ. 2051 นี่สยำกก (នេះ ស្យាំកុក៑) หรือ เสียมกก (សៀមគោក)​ หรือ ชาวสยามแห่งดินแดนที่ราบสูงของเมืองโคกขัณฑ์    หรือ โคกขัน  ส่งกองทัพไปช่วย พระศรีสุคนธบททำศึกกับขุนหลวงกอน ซึ่งเป็นกบฏตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองตวลบาสาน

พ.ศ. 2059
- พ.ศ.2059 - 2109 ราวต้นคริสต์สตวรรษที่ 16 ชาวกรุงละแวกในสมัยพระจันทรชา​ หรือ ព្រះបរមខត្តិយាមហាច័ន្ទរាជា (ឆ្នាំ១៥១៦-១៥៦៦) ก็ยังคงเรียกเมืองขุขันธ์ในอดีตยุคนั้นว่า “โคกขัน”

พ.ศ. 2099

- พ.ศ. 2099 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ครองราชย์ พ.ศ. 1991 – 2031 ตรงกับ สมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนกลาง) ทรงยกทัพไปตีเมืองละแวก เมืองโคกขัน จึงอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา ตอนกลาง อีกครั้ง
พ.ศ. 2106
-
พ.ศ.2106 - 2112 เมืองขุขันธ์ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มหัวเมืองปักษ์ใต้ของกรุงศรีอยุธยา ตอนต้น ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือ พระเจ้าช้างเผือก (พระนามเดิม พระเทียรราชา เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 15 แห่งอาณาจักรอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. 2091 - 2111) และตอนกลาง ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งแรก ซึ่งตรงกับสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช(ครองราชย์เพียง 1 ปี ในระหว่างปี พ.ศ. 2111 - 2112)  คลิก

พ.ศ. 2112
- พ.ศ. 2112(เดือน 11) – 2127 เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 สมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช  แก่พระเจ้าบุเรงนอง ราชวงศ์ตองอู แห่งกรุงหงสาวดี ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 เดือน 9 พระยาจักรี ให้สัญญาณแก่ทัพกรุงหงสาวดี เข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมือง ทำให้ทัพพม่าเข้ายึดพระนครสำเร็จ กรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรตองอู ภายใต้อำนาจของกรุงหงสาวดี สรกโคกขัน หรือเมืองขุขันธ์ ช่วงนั้นจึงกลายเป็นรัฐอิสระ 

ศาลหลักเมืองขุขันธ์ สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยเมืองขุขันธ์เป็นรัฐอิสระ (พ.ศ. 2112 - 2127) ซึ่งหลักเมืองขุขันธ์หลักแรกนี้  อยู่บริเวณวัดรัมพนีวาส (วัดบ้านลำภู)  อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คลิก

-พ.ศ. 2112 - 2133 จารึก K.1006 พบที่กัมพูชา ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง (ครองราชย์ พ.ศ.2112-2133) ระบุว่า พระภิกษุจากศรีอยุธยานามว่า พระราชมุนี เดินทางไปนครวัดและไปถึงพนมบาเค็ง ยุคนั้น นครวัดกลายเป็นวัดพุทธ จากที่เคยเรียกว่า พระพิษณุโลก ตามคติฮินดูกลับมาเรียกว่า พระเชตุพน กับ พระเชตไพร พระราชมุนี มาเห็นพระพุทธรูปแขนหัก คอหัก ได้จัดการซ่อมแซม เท่ากับว่าตอนนั้นเป็นวัดพุทธเถรวาท และต่อมาบริเวณชั้น 2 ของนครวัด มีบริเวณที่เรียกว่า ព្រះពាន់ หรือ พระพัน เกิดจากที่มีคนไปแสวงบุญสักการะทำพระพุทธรูปไปถวายนานเข้าก็มีจำนวนมากนับพันพันองค์ เท่ากับว่านครวัดและเมืองนครธมไม่ได้ถูกทิ้งร้าง แต่ลดความสำคัญจากเมืองใหญ่กลายเป็นที่จาริกแสวงบุญ ในขณะที่ตัวเมืองย้ายไปทางทิศใต้ คลิก
จารึก k.1006 จารึกด้วยอักษรเขมรโบราณหรือที่ลุ่มเจ้าพระยา
เรียกว่า อักษรขอม แต่อ่านออกเสียงเป็นภาษาไทย
พ.ศ. 2127
- พ.ศ. 2118 พระยาละแวกยกทัพเรือมายังกรุงศรีอยุธยา คลิก

พ.ศ. 2127
- พ.ศ. 2127 (เดือน 6 ปีวอก) ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2127 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทำพิธีหลังน้ำประกาศอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาไม่ขึ้นตรงต่อกรุงหงสาวดี ที่เมืองแครง

พ.ศ. 2134
- พ.ศ.2134  ตรงกับสมัยพระภิกษุประทา  เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดลำภู เมืองโคกขัณฑ์ หรือ เมืองขุขันธ์ในยุคนั้น อยู่ภายใต้การปกครอง และได้ส่งกองทัพร่วมกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ตอนกลาง เพื่อไปรบกับสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แห่งกรุงละแวก และได้รับชัยชนะในปี พ.ศ. 2137

พ.ศ. 2174
- พ.ศ. 2174/ ค.ศ. 1631 ในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 5 (ครองราชย์ พ.ศ. 2173–2199) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 24 แห่งอาณาจักรอยุธยา ตอนกลาง  ได้สร้างปราสาทนครหลวง หรือ พระมหาปราสาทพระนครหลวง หรือ พระที่นั่งนครหลวง  ภายหลังจากการสร้างวัดไชยวัฒนาราม 1 ปี โดยพระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียม กล่าวถึงการสร้างปราสาทนครหลวงเอาไว้ว่า  “…ศักราช 993 ปีมะแมศก ทรงพระกรุณาให้ช่างออกไปถ่ายอย่างพระนครแลปราสาทกรุงกัมภุชประเทศเข้ามา ให้ช่างกระทำพระราชวังเป็นที่ประทับร้อน ตำบลริมวัดเทพจัน สำหรับจะเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซึ่งถ่ายมาใช้ชื่อว่า พระนครหลวง…”   ปราสาทนครหลวงนี้ นอกจากใช้เป็นสถานที่ประทับในระหว่างเสด็จขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ยังมีหลักฐานอีกว่า สถานที่แห่งนี้ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธียิงอัตนาหรือการสวดอาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรุษหลวง จัดขึ้นในเดือน 4 และพระราชพิธีกวนข้าวทิพย์และถวายข้าวยาคูแก่พระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่กระทำในเดือน 10 ทว่าต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ศูนย์กลางอำนาจย้ายลงมายังกรุงเทพมหานคร ความทรงจำและความสำคัญของปราสาทนครหลวงแห่งนี้ก็ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป

พ.ศ. 2302
- พ.ศ.2302 ตากะจะและเชียงขันธ์ ร่วมกับสหายซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเขมรป่าดงตามจับพระยาช้างเผือกคืนกลับกรุงศรีอยุธยาได้จึงมีความชอบ ตากะจะ ได้รับโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ให้มีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงแก้วสุวรรณ” ตำแหน่งนายกองหมู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน​ ในฐานะรับราชการ ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

พ.ศ. 2306
- ปี พ.ศ. 2306 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกฐานะชุมชนที่ตั้งบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ขึ้นเป็นที่ตั้งเมือง ชื่อว่า  “เมืองขุขันธ์” โดยโปรดเกล้าฯให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ “หลวงแก้วสุวรรณ” เป็น “พระไกร” ในราชทินนาม “พระไกรภักดีศรีนครลำดวน” เปลี่ยนตำแหน่งนายกองหมู่บ้านฯเป็นตำแหน่ง “เจ้าเมืองขุขันธ์” ถือเป็นเจ้าเมือง ขุขันธ์ท่านแรก ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ปราสาทสีเหลี่ยมโคกลำดวน หรือปราสาทกุด อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
พ.ศ. 2319
- พ.ศ. 2319 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าตากสิน  แห่งกรุงธนบุรี ได้ทำสงครามกับลาว ด้วยเหตุที่เมืองจำปาสักลาวใต้ ได้ร่วมมือกับพระยานางรอง ยกพลเข้ามาทำการกวาดต้อนผู้คนในครัวเรือนที่เคยขึ้นต่อจำปาสัก แต่ต่อมาได้มาขึ้นต่อการปกครองของสยามประเทศในขณะนั้น สร้างความ ไม่พอพระทัยให้พระองค์เป็นอย่างยิ่ง จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาจักรี (พระยศในขณะนั้น) ยกทัพไปปราบ จนสามารถจับพระยานางรองประหารชีวิตแล้ว จึงได้ร่วมกับพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปตีเมืองลาวใต้ ที่เมืองจำปาสัก เมืองอัตปือแสนปาง และเมืองสีทันดร เมื่อเสร็จศึกแล้วได้กวาดต้อนชาวลาว และเกลี้ยกล่อมชนพื้นเมืองให้มาขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของ เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์และ  เมืองสังขะ เป็นจำนวนมาก

พ.ศ. 2321
- พ.ศ. 2321 พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) ทรงไม่พอพระทัยในการกระทำของเจ้าสิริบุญสาร เจ้าผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ ที่ได้ให้พระสุโพธิ์ยกกองทัพไปจับพระวอ นำไปประหารชีวิต ถือเป็นการกระด้างกระเดื่อง ไม่ยำเกรงต่อพระราชอำนาจกรุงธนบุรี พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาจักรียกทัพไปปราบ โดยมีบัญชาให้ทัพจากเมืองขุขันธ์  เมืองสุรินทร์  และเมืองสังขะ  ยกทัพร่วมทำศึกในครั้งนี้ด้วย  ทัพจากเมืองขุขันธ์ โดยการนำทัพของ “พระไกรภักดีศรีนครลำดวน” (ตากะจะ หรือ หลวงแก้วสุวรรณ) และ “หลวงปราบ”  ผู้ช่วยเมืองขุขันธ์ (เชียงขันธ์) ในการทำศึกครั้งนี้ใช้เวลา 4 เดือน จึงสามารถชนะศึกและปราบปรามได้ 

พ.ศ. 2325
- พ.ศ.2325 ตั้งเมืองศีร์ษะเกษ คลิก  

พ.ศ. 2328
- พ.ศ. 2328 พระรัตนวงศา (ท้าวอุ่น) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษท่านที่ 1  ถึงแก่อนิจกรรม  พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พระวิเศษภักดี ( ท้าวชม)  ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองศีร์ษะเกษ เป็นท่านที่ 2 หลังจากท่านรับตำแหน่งได้ไม่นาน  พระวิเศษภักดี (ท้าวชม) ก็ได้ทำการย้ายที่ตั้งเมืองศีร์ษะเกษจาก บ้านโนนสามขา สระกำแพง(สระกำแพงใหญ่) ที่เป็นที่ตั้งเดิมไปตั้ง ณ ที่ตั้งเมืองศีร์ษะเกษในปัจจุบัน

พ.ศ. 2343
พ.ศ. 2343 พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 1 ทรงดำริถึงเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะว่า กองทัพจากเมืองทั้งสามได้ร่วมตามเสด็จในราชการสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับทัพส่วนกลาง เมื่อครั้งที่พระองค์คุมกองทัพออกทำศึกสงครามมาหลายครั้ง โดยเฉพาะทัพจากเมืองขุขันธ์ เมื่อครั้งที่ยกไปตีลาวที่เมืองเวียงจันทน์  มีความชอบที่จะได้รับผลตอบแทนอย่างสมเกียรติในฐานะเมืองหัวเมืองชั้นนอก ดังนั้นพระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะความสำคัญของเมืองทั้งสาม แม้จะเป็นเมืองชั้นนอกห่างไกลและขึ้นอยู่กับบังคับบัญชาของเมืองพิมาย (เมืองโคราช) มาก่อน ให้ยกเลิกให้เมืองทั้งสาม คือ เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะ ปกครองบ้านเมืองโดยมีราชการขึ้นตรงต่อเมืองราชธานีส่วนกลาง คือ กรุงเทพฯ ตั้งแต่นั้นมา  ส่วนเมืองศีร์ษะเกษ ในขณะนั้นยังถือว่าเป็นเมืองชั้นนอกขนาดเล็ก ที่แยกออกจากเมืองขุขันธ์ มาเป็นเมืองใหม่ จึงยังให้ทำราชการขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชา เมืองนครราชสีมาต่อไปเช่นเดิม คลิก 

พ.ศ. 2368
พ.ศ. 2368 การพ่ายแพ้สงครามครั้งแรกของพม่า คลิก 

พ.ศ. 2369
- พ.ศ. 2369 ตรงกับสมัยรัชกาลที่  ๓   แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  (ท้าวบุญจันทร์)  เจ้าเมืองขุขันธ์และกรมการเมืองเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง   ความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงโปรดเกล้าฯ  ให้เจ้าพระยานครราชสีมา และพระปลัดเมือง ยกกองทัพเดินทางมาระงับความวิวาทที่เมืองขุขันธ์  ทำให้เหตุการณ์สงบเรียบร้อยลงเป็นปกติ  ขณะกองทัพนครราชสีมาเตรียมยกทัพกลับ  ก็ได้ทราบข่าวว่าที่นครราชสีมา  ถูกเจ้าอนุวงศ์ยึดได้  และสามารถกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย จำนวนมาก   ในขณะที่เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ยึดเมืองนครราชสีมาอยู่นั้น  เจ้าโย้แห่งเมืองจำปาศักดิ์   ก็ได้ยกทัพมาตีเมืองขุขันธ์   เมืองสังขะ และเมืองสุรินทร์  โดยจับ  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน(ท้าวบุญจันทร์)  เจ้าเมืองขุขันธ์ จับพระภักดีภูธรสงคราม (มานะ )จับพระแก้วมนตรี ( เทศ) รวมทั้งกรมการเมืองอื่น ๆ  นำไปประหารที่บ้านส้มป่อย  เพราะไม่ยอมเป็นสมัครพรรคพวกด้วย  ส่วนเจ้าเมืองสุรินทร์  เจ้าเมืองสังขะ  หลบหนีไปได้ กองทัพของเจ้าโย้ ได้กวาดต้อนครอบครัวไทย เขมร กูยหรือกวยไปไว้ที่เมืองจำปาศักดิ์จำนวนมากเช่นกัน (ภายหลังคนเหล่านี้ได้เป็นใส้ศึกให้ตีเมืองจำปาศักดิ์ได้สะดวกยิ่งขึ้น) เหตุการณ์ทราบถึงกรุงเทพฯ  ได้โปรดให้ยกทัพมาปราบจนสำเร็จเรียบร้อย  ทำให้เมืองขุขันธ์ขณะนั้นตำแหน่งเจ้าเมืองว่างเพราะยังไม่มีผู้เหมาะสมในการโปรดเกล้าฯ  เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ 

- ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2369  พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ  ตั้งให้ พระสังฆะบุรี (ทองด้วง) บุตรของพระยาสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ(เชียงฆะ  หรือเชียงเกา ) เจ้าเมืองสังขะ มาเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์  คนที่  4  ในราชทินนาม  "พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน"  โดยให้ท้าวไชย
(ท้าวใน)  บุตรพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ )  เป็น  พระภักดีภูธร  ปลัดเมือง ให้พระสะเทื้อน (ท้าวนวน) ผู้น้อง เป็นพระแก้วมนตรี ยกบัตรเมือง และให้ท้าวหล้าบุตรพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  (เชียงขันธ์)  เป็นพระมหาดไทย  ช่วยกันปกครองดูแลเมืองขุขันธ์ต่อไป

พ.ศ. 2379
- พ.ศ.2379 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 "เขมรป่าดง" ประกอบด้วย 13 เมือง  คลิก 

พ.ศ. 2382 
- พ.ศ. 2385 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ยกทัพจากกรุงเทพฯ ไปปราบปรามความ วุ่นวายในกรุงกัมพูชา คลิก

พ.ศ. 2385 
- พ.ศ.2385 จีนแพ้อังกฤษ ในสงครามฝิ่น จนทําให้จีนต้องยอมเปิดเมืองท่าเอ้หมิง ฝูโจว หนิงโป และเซี่ยงไฮ้ ตามสนธิสัญญานานกิง

พ.ศ. 2388 
- พ.ศ.2388 แยกพื้นที่เมืองขุขันธ์บางส่วนตั้งเป็นเมืองเดชอุดม คลิก

พ.ศ. 2402 
- พ.ศ. 2402 เดือนเมษายน ร.4 โปรดให้มีตราออกไปเกณฑ์คนเมืองพัตบอง เมืองนครเสียมราฐ เมืองพนมศก ให้พระสุพรรณพิศาลไปรื้อปราสาทผไทตาพรหม แบ่งเป็น 4 ผลัดๆละ 500 คน ระหว่างกำลังรื้ออยู่มีชาวเขมร 300 คนฮือออกจากป่ามาไล่แทงฟันฆ่าพระสุพรรณพิศาล พระวัง บุตรพระสุพรรณพิศาล ตาย 3 คน และไล่แทงฟันพระมหาดไทย พระยกกระบัตร ป่วยเจ็บหลายคน แต่ไม่ทำอันตรายไพร่  คลิก

พ.ศ. 2410 
- พ.ศ. 2410 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ร.4 โปรดเกล้าฯให้พระยาสามภพพ่าย ออกไปถ่ายแบบปราสาทนครวัดมาสร้างจำลองไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้วยมีพระราชดำริว่า "เพื่อจะให้คนไทยทั้งหลายเห็นว่าเป็นของอัศจรรย์ทำด้วยศิลาทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งไรปน"  แต่การก่อสร้างยังไม่ทันแล้วเสร็จ ร.4 เสด็จสวรรคตเสียก่อน  นครวัดจำลอง สร้างเสร็จในรัชกาลที่ 5 เมื่อคราวฉลองพระนครครบรอบ100 ปี ในปี พ.ศ. 2425 โดยฝีพระหัตถ์ของหมอมเจ้าประวิช ชุมสาย หรือที่รู้จักกันในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ว่า "เจ้าต๋ง" เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสิหวิกรม 
คลิก 

- พ.ศ. 2410 ฝรั่งเศสได้เข้าอารักขาเขมรส่วนนอก

พ.ศ. 2424  
- พ.ศ.2424 ตั้งเมืองราษีไศล คลิก

พ.ศ. 2425  
- พ.ศ. 2425 ร.5 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเพชรพิชัย(หนู หงสกุล) ออกแบบนครวัดจำลอง  และโปรดเกล้าฯให้หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย สร้างหล่อปูนตามแบบจนแล้วเสร็จทันฉลองสมโภชพระนครครบ 100ปี และปรากฏมาจนถึงบัดนี้  คลิก 

พ.ศ. 2427  
- 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2427 เมืองขุขันธ์ ได้ช้างพังสีประหลาดช้าง๑ ช้างพังตาดำช้าง๑ คลิก

- พ.ศ. 2427 ฝรั่งเศสได้ครอบครองดินแดนญวนทั้งหมด และพร้อมทั้งดําเนินนโยบายที่จะครอบครองดินแดนลาว และเขมรอันเป็นดินแดนประเทศราชของไทย

- พ.ศ. 2427 ยุคแห่งการเบี่ยงเบนข้อมูลทางประวัติศาสตร์เมืองศีร์ษะเกษออกจากเมืองขุขันธ์  ที่เคยอยู่เป็นส่วนหนึ่งภายใต้การปกครองเป็นครั้งแรก คลิก

พ.ศ. 2428  
- พ.ศ.2428  พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ  ให้ตั้งข้าราชการว่าราชการในตำแหน่งข้าหลวงกำกับเมืองบริเวณขุขันธ์ขึ้น  โดยทรงโปรดเกล้าฯ  ข้าหลวงกำกับเมืองบริเวณขุขันธ์คณะแรก  ประกอบด้วย  หลวงเสนีย์พิทักษ์  หลวงนเรนทร์  หลวงโจมพินาศ  และ  หลวงนคร

- พ.ศ. 2428  นี้เช่นเดียวกัน  พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนวางสายโทรเลข  จากเมืองจำปาสัก  ถึงเมืองขุขันธ์  เชื่อมต่อไปถึงเมืองเสียมราฐ  โดยมีบัญชาจาก พระยาอำมาตย์ข้าหลวงใหม่  เมืองจำปาสัก โดยตั้งและมอบหมายให้ ข้าหลวงเมืองขุขันธ์  มีหนังสือบอกแจ้งไปยังเจ้าเมืองขุขันธ์  เจ้าเมืองสังขะ ให้เกณฑ์ไพร่พลไปตัดทางวางสาย  โทรเลขจากเมืองขุขันธ์  ไปยังเมืองอุทุมพรพิสัย  ตลอดไปยังเมืองมโนไพร  ทั้งนี้โดยมีคำสั่งให้  ข้าหลวงพิชัยชาญยุทธ  เป็นข้าหลวงประจำอยู่ที่เมืองมโนไพรด้วย

- พ.ศ. 2428 มีเรื่องราวเมืองขุขันธ์ กล่าวไว้ในบันทึกย่อหมายเหตุเกี่ยวกับลาว เมื่อ ปี ค.ศ. 1885 คลิก

พ.ศ. 2430  
- พ.ศ. 2430 ภาพแผนที่ที่ตั้งเมืองในอดีตเมื่อ ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2430) จากหอจดหมายเหตุ จ.อุบลราชธานี

- พ.ศ. 2430 (3 พฤษภาคม 2430) พระยาขขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  เจ้า
เมืองขุขันธ์ ท่านที่ 9 และพระรัตนโกษา (จันดี ) ปลัดเมืองขุขันธ์ ได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฝ่าละอองพระบาทสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออกแขกเมืองในพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิธัยเข้าเฝ้าฝ่าละอองพระบาท และทรงจัดให้มีการสมโภชเจ้าเมืองทั้ง 5 เมืองที่เข้าเฝ้าฯ ได้แก่ เมืองนครลำปาง, เมืองพะเยา, เมืองขุขันธ์ , เมืองศรีสะเกษ และเมืองสาลวัน  คลิก

พ.ศ. 2433 
- พ.ศ. 2433 เมืองขุขันธ์ เป็นหัวเมืองเอก ถูกจัดอยู่ในกองหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก เนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงมีพระราชดําริว่า การปกครองดินแดนหัวเมืองอีสานเท่าที่เป็นอยู่ ยังห่างพระเนตรพระกรรณอยู่มาก ทั้งยังอยู่ห่างไกลความเจริญ และการปกครอง จึงต้องมีการจัดรูปแบบการปกครองใหม่ คือ แบ่งหัวเมืองภาคอีสาน ออกเป็นกองๆ แล้วรวมหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา เข้าด้วยกันแบ่งออกเป็น 4 กองใหญ่ มีข้าหลวงปกครองกองละ 1 คน โดยมีข้าหลวงใหญ่กํากับราชการอยู่ที่เมืองนครจําปาศักดิ์ 1 คน เพื่อทํานุบํารุงดูแลหัวเมืองให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น หัวเมืองที่แบ่งเป็น 4 กองใหญ่ ได้แก่ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ,หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ , หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ และหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง คลิก

พ.ศ. 2434 
 
- พ.ศ. 2434 ราชสำนักกรุงเทพฯได้ รวมหัวเมืองต่างๆ มาเป็นมณฑล แต่ยังไม่ได้จัดเป็นแบบเทศาภิบาล

พ.ศ. 2435  
- พ.ศ. 2435 เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ได้ทรงเห็นว่า เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะ รวมทั้งเมืองศีร์ษะเกษ มีราษฎรพูดภาษาถิ่นหลายภาษา อันได้แก่ ภาษากูย ภาษาเขมร ภาษาเยอ และภาษาลาว จึงทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระศรีพิทักษ์ เป็นข้าหลวงใหญ่กำกับราชการแยกเป็นอีกเขตหนึ่ง ประกอบด้วยเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ และเมืองศีร์ษะเกษ นับเป็นท่านที่ 4 ที่มีตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการประจำเมืองขุขันธ์

พ.ศ. 2436 
 
- พ.ศ. 2436 แผนที่ประเทศสยามเกิดขึ้นครั้งแรก พร้อมกับการเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 อันเป็นช่วงที่สยามสูญเสียประเทศราชของตนเองให้แก่ฝรั่งเศส คลิก

- พ.ศ. 2436 ทางกรมไปรษณีย์โทรเลข  ได้จัดให้มิสเตอร์ โทมัสมาเมอร์ มิสเตอร์แมคคูลเลอร์ และ มิสเตอร์วิลเลี่ยมไปจัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์ตามหัวเมืองในมณฑลลาวกาว   ทั้งนี้ให้รวมถึงเมืองขุขันธ์และเมืองศีร์ษะเกษ ไปจนถึงกรุงเทพฯ กำหนดการเดินไปรษณีย์โทรเลข  อาทิตย์ละ 1 ครั้ง

พ.ศ. 2437 
 
- พ.ศ. 2437 ร.5 ทรงกำหนดให้มณฑลเทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า (ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช) จัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น    ราชสำนักกรุงเทพฯ จึงได้ตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาล โดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 3 มณฑล คือ
       1. มณฑลลาวกลาง พระยาประสิทธิศิลปการเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล มีที่บัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ประกอบ ด้วย 3 เมือง คือ นครราชสีมา, ชัยภูมิ และบุรีรัมย์
       2. มณฑลลาวกาว มีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เป็นข้าหลวงต่างพระองค์สําเร็จราชการมณฑล มีที่บัญชาการมณฑลอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ประกอบด้วย 7 เมือง คือ อุบลราชธานี, นครจําปาศักดิ์, ขุขันธ์, สุรินทร์ ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม และกาฬสินธุ์
       3. มณฑลลาวพวน มีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ ก่อน พ.ศ. 2436 มีหัวเมือง ทางฝั่งซ้ายรวมอยู่ด้วย และมีแคว้นพวนเป็นแคว้นใหญ่ มีเมืองเชียงขวางเป็นเมืองสําคัญ และทรงตั้งชื่อมณฑลลาวพวนตามชื่อ เมืองพวน ภายหลังปี พ.ศ. 2436 เมืองในมณฑลนี้จึงเหลือเพียง 6 เมือง คือ อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม สกลนคร เลย หนองคาย ตั้งที่บัญชาการอยู่ที่เมืองอุดรธานี (เดิมอยู่ที่หนองคาย)  สำหรับนโยบายรวมศูนย์อํานาจ ดังกล่าวนี้ ทำให้อํานาจการปกครองตนเองของบรรดาเจ้าเมืองท้องถิ่นเดิม ถูกแทนที่โดยพวกเจ้าและ “ข้าราชการ” ตามระบบใหม่จากส่วนกลาง


พ.ศ. 2438  
- พ.ศ.2438 ในแผนที่ขนาดใหญ่ ของ Stanford's Library Map Of Asia พิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1895 ตรงกับ พ.ศ. 2438 รัชสมัย ร.5 ปรากฏชื่อ เมืองขุขันธ์ (Kukan เขียนแบบภาษาเยอรมัน หรือគោកខណ្ឌ เขียนเป็นภาษาเขมร) ณ พิกัดตำแหน่งที่ตั้งเดิมในปัจุบัน(อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ) เคียงคู่กันกับ เมืองกันทรารมย์ ในอดีต บนแผนที่ทวีปเอเซีย ตรงกับที่ตั้งปัจจุบันคือตำบลกันทรารมย์ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คลิก

พ.ศ. 2440  
- พ.ศ.2440 โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ เป็นตำแหน่ง ผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์

- พ.ศ.2440 มีพระบรมราชโองการใน ร.5 ให้ประกาศ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 (30 พฤษภาคม พ.ศ.2440) คลิก

พ.ศ. 2441  
- พ.ศ. 2441 เมืองขุขันธ์ในอดีตเมื่อ ร.ศ.117 (พ.ศ. 2441) เป็นเมืองหนึ่งใน 21 เมืองที่มีชื่อด้านการผลิตครั่งในบริเวณภาคอีสาน คลิก

- พ.ศ.2441 ร.5 ทรงให้ความสำคัญกับการออกเสียง ร. เรือ และ ล. ลิง อย่างจริงจัง คลิก

พ.ศ. 2442  
- พ.ศ. 2442 คำว่า ตะวันออกเฉียงเหนือ (ที่หมายตรงกับคำอีสาน) เริ่มใช้เป็นทางการ สมัยรัชกาลที่ 5 ราว พ.ศ. 2442 ในชื่อ มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ ยังหมายเฉพาะลุ่มนํ้ามูลถึงอุบลราชธานี จำปาสัก ฯลฯ  รวมความแล้วใครก็ตามที่มีถิ่นกำเนิด หรือมีหลักแหล่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (จะโดยเคลื่อนย้ายเข้าไปอยู่เมื่อไร ก็ตาม) ถ้าถือตัวว่าเป็น คนอีสาน หรือ ชาวอีสาน อย่างเต็มอกเต็มใจ และอย่างองอาจ ก็ถือเป็นคนอีสานเป็นชาวอีสานทั้งนั้น คลิก

-11 มิถุนายน พ.ศ. 2442 ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการออกประกาศเปลี่ยนนามมณฑล ร.ศ.118 และเมื่อมีการสำรวจสำมะโนครัว ก็ได้ห้ามการระบุว่าเป็นชาติลาว เขมร กูย ผู้ไท ฯลฯ แต่กำหนดให้ใช้สัญชาติไทยเหมือนกันหมด

พ.ศ. 2443  
- พ.ศ. 2443 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงการปกครองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคงจัดตั้งเป็นมณฑล แต่แบ่งการปกครองเป็นเมืองบริเวณ เมืองบริเวณขุขันธ์ ประกอบด้วย 3 เมือง ได้แก่ เมืองขุขันธ์ เมืองศีร์ษะเกษ และเมืองเดชอุดม โดยมีพระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี) เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองบริเวณ

พ.ศ. 2447 
 
- พ.ศ. 2447(ตรงกับ ค.ศ.1904) นับแต่นั้นมา ชะตากรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ตกอยู่กับประเทศสยามโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การแสวงหาอัตลักษณ์ร่วมของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องพิจารณาอยู่ในบริบทของรัฐไทยเท่านั้น คลิก


- พ.ศ. 2447 ได้มีการปรับปรุงเขตอำเภอ คือ ยุบอำเภอกันทรลักษ์ โดยแบ่งส่วนหนึ่งให้ไปรวมและขึ้นต่ออำเภออุทุมพรพิสัย ส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอเมือง เมืองขุขันธ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันมิให้เป็นที่ซ่องสุมผู้คนของกลุ่มผู้ที่ยังรักและศรัทธาในตัวของท้าวบุญจันทร์อยู่  และในปีเดียวกันนี้ พระยาบำรุงบุระประจันต์ ข้าหลวงบริเวณกำกับขุขันธ์ ได้เริ่มวางแผนที่จะย้ายที่ทำการศาลาว่าราชการเมืองขุขันธ์  ไปตั้งอยู่ ณ  อำเภอกลางศีร์ษะเกษ

พ.ศ. 2448  
- พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงออกพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124  การเลิกทาส และการเลิกไพร่  ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญยิ่งของพระองค์ เป็นการยกเลิกระบบที่คนชั้นสูงตั้งขึ้น เพื่อกดขี่ราษฎรให้ทำงานรับใช้หรือส่งทรัพย์สินให้โดยไม่มีกำหนดว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด “ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไท ส่วนทาสประเภทอื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ย ทรงให้ลดค่าตัวเดือนละ 4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 เป็นต้นไป”( 1 เม.ย. 2448 วันเลิกทาสของไทย ) คลิก

พ.ศ. 2449  
- พ.ศ. 2449 พระวิหาร ยังคงอยู่ในเขตเมืองขุขันธ์ คลิก
- พ.ศ. 2449 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึง "เขมรป่าดง" คลิก

พ.ศ. 2450  
พ.ศ. 2450 พระเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงการปกครองอีกครั้ง โดยให้มีการยกเลิกเมืองบริเวณและยุบเมืองบางเมืองเป็นอำเภอ ยุบเมืองหลายเมืองเป็นเมืองเดียวกัน  จึงทำให้เมืองบริเวณขุขันธ์ (เมืองขุขันธ์  เมืองศีร์ษะเกษ  และเมือง เดชอุดม)  ถูกยุบรวมกัน เรียกว่า “เมืองขุขันธ์”  โดยให้อำเภอต่าง ๆ ที่ขึ้นต่อเมืองทั้ง 3 ให้ขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ ทั้งสิ้น ทำให้เมืองศีร์ษะเกษ เมืองเดชอุดม สิ้นสภาพความเป็นเมืองตั้งแต่บัดนั้นมา โดยเมืองเดชอุดม เป็นอำเภอเดชอุดม  เมืองศรีสะเกษ  เป็น อำเภอศรีสะเกษ ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองเดชอุดม  และผู้ว่าราชการเมืองศีร์ษะเกษได้สิ้นสุดไปด้วย

- 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 ระกาศกระทรวงโยธาธิการ แผนกกรมไปรษณีย์โทรเลข เรื่อง ยกเลิกโทรเลขที่ออฟฟิศเมืองขุขันธ์ให้คงมีแต่การใช้โทรศัพท์ ร.ศ.126 คลิก

พ.ศ.2450 สถานะของอำเภอเมือง เมืองขุขันธ์ ที่ถูกย้ายเฉพาะศาลากลางเมืองขุขันธ์ จากที่ตั้งเดิม(อำเภอเมืองขุขันธ์) ไปตั้งบริเวณศาลากลางเมืองศีร์ษะเกษ เมื่อปลายปี พ.ศ. 2450 แต่ยังคงใช้ชื่อ ศาลากลางเมืองขุขันธ์  ส่วนพื้นที่อำเภอเมืองขุขันธ์ ยังอยู่ที่ตั้งเดิม คลิก

พ.ศ. 2451  
- 15 มีนาคม พ.ศ.2451 (ร.ศ.127) ส่งหีบเพลิงไปพระราชทาน [พระพิไชยสุนทรสงคราม (ทองคำ) ปลัดเมืองขุขันธ์ คลิก
- พ.ศ. 2451(ร.ศ.127) เมืองขุขันธ์ ยังคงอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือของราชอาณาจักรสยาม ตามแผนที่ คลิก 

พ.ศ. 2452  
20 กรกฎาคม พ.ศ. 2452 (ร.ศ.128) ร.5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตรา พระราชบัญญัติสำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ.128 นับกฏหมายที่ใช้กับการทะเบียนราษฎรเป็นครั้งแรก คลิก

- พ.ศ. 2452  พระเจ้าอยู่หัว ร.5 ได้โปรดเกล้าฯ  ให้ย้ายที่ทำการอำเภออุทุมพรพิสัย  มาตั้งที่บ้านขนา  ตำบลน้ำอ้อม  เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอน้ำอ้อม และต่อมาก็ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอน้ำอ้อม มาตั้งที่บ้านโนนสว่าง  ตำบลน้ำอ้อมในเวลาต่อมา

พ.ศ. 2452  สมัยพระยาประชากิจกรจักร (ทับ มหาเปาระยะ) ผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์  พระเจ้าอยู่หัว ร.5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอกันทรารมย์  เป็น ตำบลกันทรารมย์

พ.ศ. 2453  
- 1 มกราคม พ.ศ.2453 (ร.ศ.129) ยุคจังหวัดขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ประสบปัญหาฝนแล้งอย่างหนัก ทางการประกาศห้ามมิให้จำหน่ายหรือพาเข้าในจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดขุขันธ์ออกไปต่างเมือง คลิก

พ.ศ. 2454  
- พ.ศ. 2454 พระยาวิเศษสิงหนาถ ( ปิ๋ว บุญนาค ) เป็นผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์  ต่อมาได้ยุบรวมอำเภอกลางเดชอุดม อำเภออุทัยเดชอุดม และอำเภอปจิมเดชอุดม รวมเป็น อำเภอเดชอุดม ให้ขึ้นต่อ เมืองขุขันธ์ 

พ.ศ. 2455 
 
- พ.ศ. 2455 เมืองขุขันธ์ อยู่ในการปกครองสังกัด มณฑลเทศาภิบาลอุบล (ขณะนั้นประกอบด้วย 3 เมือง ได้แก่ เมืองอุบลราชธานี เมืองขุขันธ์ และเมืองสุรินทร์) มี พระยาชลบุรานุรักษ์ (เจริญ จารุจินดา) ตำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก คลิก  

พ.ศ. 2456  
- 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2456 เป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ของไทย เพราะคนไทย ในอดีตก่อนปี พ.ศ. 2456 ยังไม่มีนามสกุลใช้ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ออกพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 พระราชทานให้แก่ข้าราชบริพาร  ข้าราชการ และราษฎรทุกคน เรียกว่า นามสกุลพระราชทาน คลิก  

- หลวงศุภกิจวิเลขการ (เชย) อดีตปลัดจังหวัดขุขันธ์ (พ.ศ. 2456 -2459) มณฑลอุบลราชธานี , พระยาสุนทรพิพิธ (เชย สุนทรพิพิธ) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย : นักปกครองสองยุค คลิก

- 12 ตุลาคม พ.ศ. 2456 วันเกิดของอำเภอเมืองศีร์ษะเกษ พบใน ราชกิจจานุเบกษา เปลี่ยนชื่ออำเภอบางอำเภอในจังหวัดขุขันธ์ คลิก
 ในสมัยที่ ร.อ. พระอินทร์ประสิทธิศร ( เชื้อ  ทองอุทัย) เป็นผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ ในปีนี้เอง พระเจ้าอยู่หัว ร.6 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่ออำเภอกลางศีร์ษะเกษ เป็นชื่อ อำเภอเมืองศีร์ษะเกษ  เปลี่ยนชื่ออำเภออุไทยศีร์ษะเกษ เป็นชื่อ อำเภอกันทรารมย์  เปลี่ยนชื่ออำเภอปจิมศีร์ษะเกษ  เป็นชื่อ อำเภออุทุมพรพิไสย  

พ.ศ. 2458  
- พ.ศ.2458 ประกาศ ตั้งศาลจังหวัดขุขันธ์ คลิก

พ.ศ. 2459 
- พ.ศ.2459 /หรือ ค.ศ.1916 ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเมืองขุขันธ์ เป็นชื่อจังหวัดขุขันธ์ โดยที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ พระเจ้าอยู่หัว ร.6 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามคำว่า เมือง เป็น จังหวัด เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 (In 1916 during the reign of King Rama VI,Siam introduced the word "Changwat"(province) in place of "Mueang"(city). ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง เปลี่ยนเป็น ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ ดังนั้น เมืองขุขันธ์ จึงได้เปลี่ยนเป็น จังหวัดขุขันธ์ ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ เปลี่ยนเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์ ตั้งแต่บัดนั้นมา แต่ที่ตั้งศาลากลางจังหวัดขุขันธ์ ยังคงตั้งอยู่ ณ ที่อำเภอกลางศรีสะเกษ โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้ อำมาตตรี พระยาภักดีศรีสุนทรราช (ดิส โกมลบุตร ) ได้ดำรงตำแหน่งในนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์ เป็นท่านแรก โดยใช้ดวงตราไปรษณียากร และดวงตราประทับใช้ในราชการ ซึ่งเดิมมีอักษรโดยใช้ชื่อ ขุขันธ์ ก็ยังใช้เหมือนเดิม แต่ให้ความหมายว่า จังหวัดขุขันธ์ 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงครองราชย์ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 (15 ปี 34 วัน)

พ.ศ. 2460  
- 29 เมษายน พ.ศ. 2460 ประกาศเรื่องเปลี่ยนชื่ออำเภอ(ในจังหวัดขุขันธ์) คลิก เปลี่ยนชื่ออำเภอเมืองขุขันธ์ จังหวัดขุขันธ์ เป็นอำเภอห้วยเหนือ จังหวัดขุขันธ์ 

- 1 ตุลาคม พ.ศ. 2460  ร.6 ทรงเปลี่ยนแปลงธงประจำชาติไทยจาก ธงช้าง มาเป็น ธงไตรรงค์ โดยทรงรำลึกถึงสีน้ำเงินอันเป็นสีแห่งวันพระราชสมภพ ซึ่งทรงยึดถือเป็นสีประจำพระองค์อยู่แล้ว ทรงจัดวางรูปริ้วผ้าใหม่โดยนำริ้วสีน้ำเงินที่ใหญ่เป็น ๒ เท่าของสีขาวและสีแดงไว้ตรงกลางขนาบด้วยสีขาวทั้งล่างและบน มีสีแดงอยู่ริม ๒ ข้าง 
     
และพระราชทานความหมายไว้ว่า สีแดงหมายถึงชาติซึ่งคนไทยทุกคนต้องรักษาไว้โดยแม้จะต้องสละเลือดและชีวิต สีขาวคือศาสนาซึ่งบริสุทธิ์ดุจสีขาว ส่วนสีน้ำเงินหมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ หลังจากนั้นโปรดให้ทดลองนำขึ้นสู่เสา ดูสง่างาม และมีความหมายแสดงสัญลักษณ์ของชาติไว้อย่างครบถ้วนตามพระราชประสงค์ เป็นที่พอพระราชหฤทัย พระราชทานนามว่า ธงไตรรงค์ ประกาศเป็นธงประจำชาติ คลิก

พ.ศ. 2461  
- พ.ศ. 2461 พบข้อมูลการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคอินฟลูเอนซา (Influenza) หรือ ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดที่จังหวัดขุขันธ์  คลิก

พ.ศ. 2463  
- พ.ศ. 2463 อำมาตตรี พระยาวิเศษชัยชาญ ( ชอุ่ม อมัตติรัตน์) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์  และในปีเดียวกันนี้เอง พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามอำเภอท่าช้าง เดิม เป็นอำเภอกันทรารมย์ และได้มีการย้ายที่ตั้งอำเภอกันทรารมย์ ไปตั้งที่บ้านคำพวน  ตำบลคูน  ใกล้ทางรถไฟ

พ.ศ. 2464  
- 1 เมษายน พ.ศ. 2464 พระราชบัญญัติฝิ่น พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ คลิก
- 26 มิถุนายน  พ.ศ. 2464 พระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ คลิก
- 1 ตุลาคม พ.ศ. 2464 พระราชบัญญัติประถมศึกษา พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ คลิก

พ.ศ. 2465  
- พ.ศ. 2465 มี  อ.ท.พระยานครพระราม (สวัสดิ์  มหากายี ) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์ ได้มีการปรับปรุงการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอีกครั้งหนึ่ง โดยรวมมณฑลหลาย ๆ มณฑลเข้าเป็นภาค โดยมณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด  มณฑลอุบลราชธานี  รวมขึ้นต่อภาคอีสาน

พ.ศ. 2465 ประกาศ โอนอำเภอเดชอุดมและกิ่งอำเภอโพนงามจังหวัดขุขันธ์ไปขึ้นจังหวัดอุบลราชธานี 

- 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2465 คำแถลงการณ์ของเสนาธิการทหารบก เรื่อง สนามบินสำหรับจังหวัดขุขันธ์ และ สุรินทร์  คลิก

- 15 ธันวาคม พ.ศ. 2465 โอน ต.กันทรารมย์ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ มาอยู่ในจังหวัดขุขันธ์ คลิก

พ.ศ. 2468  
- พ.ศ. 2468  มี  อ.ท. พระยาวิสุทธิ์ราชรังสรรค์ ( ใหญ่  บุนนาค)  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด  ขุขันธ์ รัชสมัย ร.7 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ดให้ไปขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา จังหวัดขุขันธ์ จึงได้ขึ้นต่อมณฑลนครราชสีมา แต่บัดนั้นมา 

พ.ศ. 2470  
- พ.ศ. 2470  มี  ม.อ.ต.พระยาประชากิจกรจักร ( ชุบ  โอสถานนท์ ) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์ ปีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทยอีกครั้ง  คือ ได้โปรดให้มีการยกเลิกมณฑลทั่วประเทศ  ทำให้จังหวัดทุกจังหวัดขึ้นต่อส่วนกลาง   ทำให้ จังหวัดขุขันธ์ ขึ้นต่อส่วนกลางตั้งแต่นั้นมา    และในปีเดียวกันนี้เอง ได้มีการโอนพื้นที่ ตำบลต่าง ๆ ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานี กับจังหวัดขุขันธ์

- 7 มิถุนายน พ.ศ. 2470 แจ้งความสภากาชาดสยาม เรื่อง รับประชาสมาชิก พ.ศ. ๒๔๖๙ จังหวัดขุขันธ์ คลิก

พ.ศ. 2471 
1 พฤษภาคม  พ.ศ. 2471 ทางราชการได้เปิดบริการรถไฟจากสถานีรถไฟสายกรุงเทพมหานครถึงสถานีห้วยทับทัน 

- 20 ธันวาคม พ.ศ.2471 ประกาศ โอนอำเภอเดชอุดม และกิ่งอำเภอโพนงาม จังหวัดขุขันธ์ ไปขึ้นจังหวัดอุบลราชธานี คลิก

พ.ศ. 2472 
- 19 กรกฏาคม พ.ศ. 2472 แจ้งความกระทรวงธรรมการ แผนกกรมธรรมการ เรื่อง ปฏิสังขรณ์ศาลาพระพุทธบาทจำลอง จังหวัดขุขันธ์ คลิก
- 15 ธันวาคม พ.ศ. 2472 เพลิงไหม้บ้านเรือนราษฏร 56 หลังและยุ้งเข้า 25 หลังในหมู่ 1 ตำบลส้มป่อย อำเภอคง จังหวัดขุขันธ์ คลิก 

พ.ศ. 2473 
1  เมษายน  พ.ศ. 2473  ทางราชการได้เปิดบริการรถไฟจากสถานีรถไฟสายกรุงเทพมหานครถึงสถานีอุบลราชธานี
 
พ.ศ. 2475 
- 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 รัชสมัย ร.7 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  คลิก

พ.ศ. 2476 
- พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม   พุทธศักราช 2476 คลิก

พ.ศ. 2477 
- สมาชิกสภาจังหวัดขุขันธ์ ที่ได้รับแต่งตั้งครั้งแรก จำนวน 28 ท่าน คลิก 
-
ประกาศกระทรวงธรรมการ กรมธรรมการ เรื่อง ตั้งโรงเรียนฝึกหัดครู (สำหรับพระภิกษุ) ในจังหวัดขุขันธ์ คลิก
- พระราชบัญญัติพระราชทานวิสุงคามสีมา พุทธศักราช 2477 (ยุคที่ยังเป็นจังหวัดขุขันธ์) คลิก

พ.ศ. 2478 
- พระราชบัญญัติพระราชทานวิสุงคามสีมา พุทธศักราช ๒๔๗๘ (ยุคที่ยังเป็นจังหวัดขุขันธ์) -วัดบิง ต.ดองกำเม็ด คลิก

พ.ศ. 2479 
- 21 มีนาคม 2479 แจ้งความกระทรวงธรรมการ แผนกกรมธรรมการ [ตั้งรองเจ้าคณะจังหวัดขุขันธ์] คลิก

- เดือนกรกฎาคม 2479 การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย จังหวัดขุขันธ์ มีสมาชิกสภาจังหวัดขุขันธ์  ที่มาจากการเลือกตั้ง จำนวน 28ท่าน และสมาชิกสภาจังหวัด ที่มาจากการแต่งตั้ง  จำนวน 14 ท่าน รวมทั้งสิ้น 42 ท่าน คลิก

- 29 พฤศจิกายน 2479 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลเมืองขุขันธ์ จังหวัดขุขันธ์ คลิก

พ.ศ. 2480 
พระราชบัญญัติพระราชทานวิสุงคามสีมา พุทธศักราช ๒๔๘๐ (ยุคที่ยังเป็นจังหวัดขุขันธ์) วัดกฤษณา วัดบ้านตะเคียน  วัดปรือใหญ่ วัดบ้านตาอุด คลิก
คณะกรรมการป้องกันการค้ากำไรเกินควรประจำจังหวัดขุขันธ์ คลิก

พ.ศ. 2481 

- 6 มีนาคม พ.ศ. 2481 พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนนามเทศบาลเมืองขุขันธ์ จังหวัดขุขันธ์ เป็นเทศบาลเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ คลิก

- 20 มิถุนายน พ.ศ. 2481 "...ชื่ออำเภอ ซึ่งเป็นที่ตั้งจังหวัดขุขันธ์ในเวลานี้ ก็เรียก อำเภอศีรษะเกศ..." คลิก

23 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ประกาศกระทรวงธรรมการ เรื่อง พระราชทานยศลูกเสือ แก่ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ลูกเสือจังหวัดขุขันธ์ คลิก

วันจันทร์ที่ 14  พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 วันเกิดจริงของจังหวัดศรีสะเกษ ตามกฎหมาย และตามพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนนามจังหวัด และอำเภอบางแห่ง พุทธศักราช  2481 มาตรา 3 ให้เปลี่ยนนามจังหวัดขุขันธ์ เป็น จังหวัดศีร์ษะเกษ เปลี่ยนชื่อ อำเภอห้วยเหนือ เป็นชื่อ ขุขันธ์  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คลิก 

- 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481  ประกาศกระทรวงยุติธรรม เรื่อง เปลี่ยนนามศาลจังหวัดขุขันธ์เป็นศาลจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่  คลิก 
- 12 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ตำบลตาอุด เคยถูกยุบไปขึ้นกับ ตำบลสะเดาใหญ่  เมื่อวันที่  คลิก 

พ.ศ. 2482
ประเทศของเราเดิมชื่อ ประเทศสยาม เปลี่ยนชื่อมาเป็น ประเทศไทย  เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482/ค.ศ.1939  สมัยรัฐบาลของนายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม (ต่อมาสถาปนาเป็นจอมพล ป. ซึ่งเป็นปีกขวาของ “คณะราษฎร” และเป็นผู้พัฒนาให้เกิด “ระบอบอํามาตยาธิปไตย/อํานาจนิยมอันมีบรรดาจอมพล และพลเอกเป็นผู้นํา”) ได้ประกาศ “รัฐนิยม” ให้เปลี่ยนนามประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย และ Siam เป็น Thailand” โดยให้เหตุผลด้วยหลักการของ “ลัทธิเชื้อ-ชาตินิยม” ว่า “รัฐบาลเห็นสมควรถือเป็นรัฐนิยมให้ใช้ชื่อประเทศให้ต้องตามชื่อเชื้อชาติและความนิยมของประชาชน” ...

- 26 ตุลาคม พ.ศ.2482 พระราชบัญญัติพระราชทานวิสุงคามสีมา พุทธศักราช ๒๔๘๒ (ยุคที่จังหวัดขุขันธ์ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดศรีสะเกษ) - วัดบ้านจันลม วัดสำโรงตาเจ็น วัดสะโน วัดบ้านโคกเพ็ชร์  วัดบ้านโคกโพน วัดบ้านแขว วัดบ้านสะอาง คลิก

พ.ศ. 2483
- 14 มกราคม พ.ศ. 2483 
พระราชบัญญัติพระราชทานวิสุงคามสีมา พุทธศักราช ๒๔๘๓ (ยุคที่เป็นจังหวัดศรีสะเกษ) -วัดบ้านปรือใหญ่  คลิก

- ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน 2483 – 3 มกราคม 2484 เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศส ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดจังหวัดนครพนม อำเภออรัญประเทศ  และส่งกองทหารเข้าโจมตีอำเภอท่าอุเทน  จังหวัดนครพนม ช่องโจมบก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ กองทัพบูรพาของไทย จึงรุกรบเข้าไปในเขตอินโดจีนของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2484  ยึดด่านปอยเปต บุกไปเกือบถึงเมืองเสียมราฐ และศรีโสภณ ยึดนครจำปาสักได้ กองกำลังทหารตำรวจของจังหวัดเลย ยึดเมืองปากกายฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงกันข้ามเมืองหลวงพระบางได้ มีการทำสัญญาหยุดยิง เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 โดยมีผู้แทนญี่ปุ่นเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยสงบศึก ฝ่ายไทยได้มีจังหวัดเพิ่มขึ้นหลายจังหวัดจากฝรั่งเศส คือ จังหวัดนครจำปาสัก จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดลานช้าง ซึ่งบางจังหวัดมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ จึงมีข้าราชการชาวศรีสะเกษที่รู้ภาษาเขมรไปอยู่ประจำทำงานหลายคนไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในจังหวัดที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ เมื่อมีการแบ่งเป็นเขตแดน ก็ไม่ได้กลับเมืองไทยจนถึงทุกวันนี้ และมีทายาทอยู่ในตำแหน่งผู้ปกครองของกัมพูชาในระดับสูงก็ยังมีปรากฎอยู่ 

พ.ศ. 2484
- 4 มิถุนายน พ.ศ. 2484 แจ้งความกระทรวงธรรมการ เรื่อง เจ้าคณะแขวงขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ขอลาออกจากตำแหน่ง คลิก

- 16 ธันวาคม พ.ศ.2484  ประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์อันมีราชทินนามต่างๆทั้งที่เป็นเจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน เป็นต้น คลิก

- วันที่ 7 - 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ปีดังกล่าว เกิดการสู้รบระหว่างกองกำลังของไทยกับกองกำลังทัพญี่ปุ่นผู้รุกราน และมีคำสั่งให้หยุดยิง  เมื่อ เวลา 07.00 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เป็นผลให้ไทยทำสัญญากับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นเหตุให้คนไทยส่วนหนึ่ง นำโดย ดร. ปรีดี พนมยงค์ จัดตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อกู้ชาติ โดยระดมชายฉกรรจ์ พร้อมทั้งข้าราชการบางส่วนทั่วประเทศ รวมทั้งจากจังหวัดศรีสะเกษไปฝึกอาวุธ มีการเตรียมการจัดทำสนามบิน เพื่อให้เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรมาลง เช่น ที่บริเวณศูนย์การศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ (ทุ่งสนามบิน) และที่บ้านสนามสามัคคี ตำบลโสน อำเภอขุขันธ์

พ.ศ. 2494
-  อำเภอขุขันธ์ เคยมีป่าสน ที่ตำบลหัวเสือ เป็นป่าคุ้มครอง  คลิก
   หมายเหตุ 
    กฎกระทรวงฉบับที่ ๗๓ ( พ.ศ.๒๕๐๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ คลิก
    กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๐๕ (พ.ศ.๒๕๑๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ คลิก

พ.ศ. 2498
- แยกตำบลพราน ตำบลไพร และบางหมู่บ้านจากตำบลละลาย อำเภอกันทรลักษ์ รวมกับ 5 ตำบลในอำเภอขุขันธ์ คือ ตำบลขุนหาญ ตำบลสิ ตำบลบักดอง ตำบลกระหวัน และตำบลกันทรอม ตั้งเป็นกิ่งอำเภอขุนหาญ  ขึ้นกับอำเภอขุขันธ์

พ.ศ. 2499
- 30 พฤษภาคม 2499 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คลิก
- 9 ตุลาคม พ.ศ. 2499 คนต่างด้าวเมื่อปี พ.ศ. 2499 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 73 ตอนที่ 81  ตุลาคม 2499 หน้า 3010 คือ ชาวจีน และอื่นๆ แต่ปัจจุบัน น่าจะโอนสัญชาติเป็นคนไทยเรียบร้อยหมดแล้ว...และสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างที่เคยถูกห้าม...รวมแม้กระทั้งค้าขายข้าว คลิก 

พ.ศ. 2500-ปัจจุบัน
- 10 ธันวาคม พ.ศ.2500 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลขุนหาร กิ่งอำเภอขุนหาร อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คลิก

- พ.ศ. 2501 ยกกิ่งอำเภอขุนหาญ เป็นอำเภอขุนหาญ

- พ.ศ. 2504 รวมตำบลกู่ ตำบลพิมาย ตำบลหนองเชียงทูล และตำบลสมอ ของอำเภอขุขันธ์ ตั้งเป็นกิ่งอำเภอปรางค์กู่

- พ.ศ. 2505 ศาลโลกมีคำพิพากษาตัดสินให้ประเทศไทย ยกปราสาทเขาพระวิหาร ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้ตกเป็นของประเทศกัมพูชา การเสียปราสาทเขาพระวิหาร นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของไทยอีกเหตุการณ์หนึ่ง

- พ.ศ. 2506 ตั้งกิ่งอำเภอปรางค์กู่ เป็น อำเภอปรางค์กู่

- พ.ศ. 2509 เปิดที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขขุขันธ์ คลิก

- พ.ศ. 2511 รวม 4 ตำบลของอำเภอขุขันธ์ คือ ตำบลไพรบึง ตำบลปราสาทเยอ ตำบลดินแดง และตำบลสำโรงพลัน ตั้งเป็นกิ่งอำเภอไพรบึง
- พ.ศ. 2512 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ในท้องที่อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ (8 ตุลาคม พ.ศ. 2512) คลิก
- พ.ศ. 2513 
พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายนครราชสีมา - โชคชัย -นางรอง -กันทรลักษ์ - เดชอุดม -อุบลราชธานี ตอนสังขะ -เดชอุดม คลิก
- พ.ศ. 2518 ยกกิ่งอำเภอไพรบึง เป็น อำเภอไพรบึง
- พ.ศ. 2529 กระทู้ถามที่ ๕๑ ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าที่อำเภอขุขันธ์ และอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ (ของ นายเริ่มรัฐ จิตรภักดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) คลิก
- พ.ศ. 2530 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แบ่งเขตท้องที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งเป็นกิ่งอำเภอวังหิน(12 มีนาคม พ.ศ. 2530) คลิก
- พ.ศ. 2532 แผนที่เขตปฎิรูปที่ดิน ในท้องที่อำเภอขุขันธ์ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๒  คลิก
- พ.ศ. 2532 ประกาศฯเปิดสำนักงานธนาคารออมสิน สาขาขุขันธ์ คลิก
- พ.ศ. 2534 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แบ่งเขตท้องที่อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งเป็นกิ่งอำเภอภูสิงห์ (1เม.ย.2534) โดยรวมเอาตำบลห้วยติ๊กชู ตำบลละลม ตำบลโคกตาล ตำบลห้วยตามอญ ตำบลดงรัก และตำบลตะเคียนราม ของอำเภอขุขันธ์ เป็นกิ่งอำเภอภูสิงห์ คลิก
- พ.ศ. 2534 อำเภอขุขันธ์  ได้มีการประชุมเห็นชอบร่วมกันว่า งานบุญประเพณีแซนโฎนตา  เป็นงานสำคัญ อันแสดงออกถึงความสมัครสมานสามัคคี และความกตัญญูต่อ     บุพเปตชนของชาวอำเภอขุขันธ์ จึงได้มีมติที่จะนำเสนอยกระดับงานนี้ให้เป็นที่รู้จัก  จึงได้ให้มีการจัดงานบุญประเพณีแซนโฎนตาเมืองขุขันธ์ จัดให้มีขึ้นบริวณหน้าที่ว่าการอำเภอขุขันธ์   ครั้งแรกเมื่อปี   พ.ศ. ๒๕๓๔  โดย  นายสุนาย   ลาดคำกรุง นายอำเภอขุขันธ์ (พ.ศ. ๒๕๓๒-๒๕๓๕) โดยมอบหมายให้แต่ละตำบลจัดทำ และนำเครื่องเซ่นไหว้มาประกอบพิธีร่วมกันบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอขุขันธ์ ภายหลังเมื่อได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายขึ้น  จึงได้ร่วมกันจัดให้มีขบวนแห่เครื่องเซ่นไหว้ เพื่อมาเซ่นไหว้ร่วมกันที่บริเวณลานด้านหน้าอนุสาวรีย์ของท่าน และต่อมาการจัดงานมีความก้าวหน้ามาโดยตามลำดับ  จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วประเทศ และทั่วโลกในที่สุด
- พ.ศ. 2538 ยกกิ่งอำเภอภูสิงห์ เป็น อำเภอภูสิงห์
- พ.ศ. 2538 พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอขุขันธ์ และกิ่งอำเภอภูสิงห์ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คลิก
- พ.ศ. 2553 เปลี่ยนชื่อ เทศบาลตําบลห้วยเหนือ อําเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็น เทศบาลตําบลเมืองขุขันธ์ คลิก


ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
โทร. 086-1308496
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
โทร. 098-5869569

สนับสนุนโดย