1.โขนคณะของพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน(ท้าวปาน หรือปัญญา ขุขันธิน) เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 9 มีบ้านพักอยู่ในหมู่บ้านเก่า หรือบ้านคุ้มในวัง (ซรก-กนง-เวี๊ยง) พักอยู่คุ้มเดียวกับพระยาขุขันธ์ฯ อยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดบกจันทร์นครในปัจจุบัน โขนคณะนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2426 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการที่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนนครลำดวน(ปัญญา ขุขันธิน) ได้นำครูโขนมาจากกรุงเทพฯและครูโขนจากกัมพูชาเข้ามาถ่ายทอดและฝึกหัดการแสดง เมื่อปี พ.ศ. 2426-2447 นักแสดงใช้ผู้ชายล้วน โดยมีบทพากย์ บทร้องเป็นภาษาเขมร และใช้ภาษาเขมรในการแสดงทั้งเรื่อง เนื่องจากเมืองขุขันธ์ในขณะนั้น มีกลุ่มชาติพันธุ์เขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในเนื้อเรื่องมากขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2511 - 2515 สืบเนื่องมาจากผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ขณะนั้น คือ นายกำเกิง สุรการ ได้ให้ทางอำเภอขุขันธ์ ฝึกซ้อมการแสดงโขนเพื่อใช้แสดงในงานกาชาดประจำปีของจังหวัดศรีสะเกษ และสืบเนื่องจากการที่นายบุญเลิศ จันทร อดีตครูใหญ่ในโรงเรียนขุขันธ์วิทยา(ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ได้ฝึกซ้อมนักเล่นโขน ตอนท้าวมาลีราชว่าความ เล่นรอบกองไฟในงานของโรงเรียนขุขันธ์วิทยา และนายศิริ ศิลาวัฒน์ อดีตครูใหญ่โรงเรียนบ้านหัวเสือ(ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ที่ได้ฝึกซ้อมโขน ตอน พระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ และสังหารกุมภกรรณ โดยใช้เครื่องแต่งกายเท่าที่จะหาได้ไม่มีหัวโขนแต่ใช้หน้ากากปิดหน้าแทนนั้น ทำให้ นายสม ทัศศรี นายอำเภอขุขันธ์ ได้รื้อฟื้นโขนขึ้น โดยมอบหมายให้ อาจารย์ศิริ ศิลาวัฒน์ ครูใหญ่โรงเรียนบ้านหัวเสือ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ศึกษาธิการอำเภอ คณะครูโรงเรียนขุขันธ์ และครูประชาบาลอำเภอขุขันธ์ ได้ฝึกซ้อมและนำไปแสดงในงานกาชาดประจำปีของจังหวัดศรีสะเกษ โดยให้ นายศิริ ศิลาวัฒน์ จัดทำบทให้ผู้ฝึกซ้อม จำนวน 4 ตอน คือ
1. ตอนกำเนิด พาลี สุครีพ หนุมาน
2. ตอนทรพีฆ่าพ่อ และพาลีฆ่าทรพี
3. ตอนหนุมานส่งข่าวนางสีดา และเผากรุงลงกา
4. ตอนพระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ และสังหารกุมภกรรณ
บรรเลงประกอบการแสดงโดยวงปี่พาทย์บ้านหัวเสือ ได้รับการชื่นชมอย่างดียิ่ง มีผู้ชมสนใจไปชมการแสดงโขนของขุขันธ์แน่นขนัดทุกๆคืน ไปแสดงติดต่อกัน 3 ปี จึงเลิกไป เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง
2. ตอนทรพีฆ่าพ่อ และพาลีฆ่าทรพี
3. ตอนหนุมานส่งข่าวนางสีดา และเผากรุงลงกา
4. ตอนพระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ และสังหารกุมภกรรณ
บรรเลงประกอบการแสดงโดยวงปี่พาทย์บ้านหัวเสือ ได้รับการชื่นชมอย่างดียิ่ง มีผู้ชมสนใจไปชมการแสดงโขนของขุขันธ์แน่นขนัดทุกๆคืน ไปแสดงติดต่อกัน 3 ปี จึงเลิกไป เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง
ลักษณะการฝึกหัด
มีการฝึกหัดเบื้องต้น ได้แก่ ตบเข่า ถองสะเอว ดัดมือ เต้นเสา ตีลังกา และการฝึกเข้าเรื่อง แต่ไม่มีการฝึกแม่ท่าหรือรำเพลงช้า เพลงเร็วเหมือนโขนกรุงเทพฯ
มีการฝึกหัดเบื้องต้น ได้แก่ ตบเข่า ถองสะเอว ดัดมือ เต้นเสา ตีลังกา และการฝึกเข้าเรื่อง แต่ไม่มีการฝึกแม่ท่าหรือรำเพลงช้า เพลงเร็วเหมือนโขนกรุงเทพฯ
ลักษณะการแสดง
ลักษณะการแสดงของโขนขุขันธ์ เป็นการแสดงที่ผสมผสานระหว่างการแสดงโขนกรุงเทพฯและโขนกัมพูชา โดยได้ปรับปรุงวิธีการแสดงให้เหมาะสมกับสังคมชาวขุขันธ์ โขนขุขันธ์ไม่มีบทพากษ์ มีแต่การเจรจาซึ่งเหมือนกับการพูดคล้องจองกัน ในการแสดงในยุคแรกใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาใช้ทั้งชายและหญิงสามารถแสดงได้ทั้งตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง บทที่ใช้มีลักษณะเป็นกลอนเลียนแบบกลอนบทละคร
ลักษณะการแสดงของโขนขุขันธ์ เป็นการแสดงที่ผสมผสานระหว่างการแสดงโขนกรุงเทพฯและโขนกัมพูชา โดยได้ปรับปรุงวิธีการแสดงให้เหมาะสมกับสังคมชาวขุขันธ์ โขนขุขันธ์ไม่มีบทพากษ์ มีแต่การเจรจาซึ่งเหมือนกับการพูดคล้องจองกัน ในการแสดงในยุคแรกใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาใช้ทั้งชายและหญิงสามารถแสดงได้ทั้งตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง บทที่ใช้มีลักษณะเป็นกลอนเลียนแบบกลอนบทละคร
ลักษณะการรบระหว่างยักษ์และลิง
จะแตกต่างจากโขนกรุงเทพฯ คือ ใช้ท่ากระบี่กระบอง หรือ ท่าฟันดาบในการรบ ส่วนการขึ้นลอยจะมีการใช้ท่าขึ้นลอยหลังเพียงลอยเดียว
จะแตกต่างจากโขนกรุงเทพฯ คือ ใช้ท่ากระบี่กระบอง หรือ ท่าฟันดาบในการรบ ส่วนการขึ้นลอยจะมีการใช้ท่าขึ้นลอยหลังเพียงลอยเดียว
ลักษณะเครื่องแต่งกาย
เครื่องแต่งกายจะแต่งยืนเครื่อง แต่ไม่วิจิตรงดงามอย่างโขนกรุงเทพฯ ลักษณะการปักจะใช้เลื่อมปักเป็นลวดลาย
ขอบพระคุณผู้เขียน :
อาจารย์บรรณ มากนวล,2547.
นายขวัญชัย ไชยโพธิ์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์,2562.
ขอบพระคุณภาพประกอบ : นายณฐกร ประเสริฐ รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์,2563.
ผู้ตรวจ/ทาน/เรียบเรียง : นายสุเพียร คำวงศ์,2556-2563.
เครื่องแต่งกายจะแต่งยืนเครื่อง แต่ไม่วิจิตรงดงามอย่างโขนกรุงเทพฯ ลักษณะการปักจะใช้เลื่อมปักเป็นลวดลาย
วงดนตรีที่ใช้บรรเลง
ใช้วงปี่พาทย์อีสานใต้ เพลงที่ใช้ในการแสดงมีลักษณะแปร่งหรือเพี้ยนกว่าเพลงโขนกรุงเทพฯ ลักษณะเพลงส่วนใหญ่จะออกไปทางเขมร แต่มีลูกตกบางเพลงอยู่ในทำนองเพลงไทย
ใช้วงปี่พาทย์อีสานใต้ เพลงที่ใช้ในการแสดงมีลักษณะแปร่งหรือเพี้ยนกว่าเพลงโขนกรุงเทพฯ ลักษณะเพลงส่วนใหญ่จะออกไปทางเขมร แต่มีลูกตกบางเพลงอยู่ในทำนองเพลงไทย
หลังจากปี พ.ศ. 2515 โขนขุขันธ์ ไม่ถูกนำมาแสดงให้ลูกหลานได้ชมอีกเลย คงเหลือแต่ความทรงจำของผู้ที่เคยร่วมแสดงและผู้ชมที่มีอายุมากแล้ว ส่วนเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย หัวโขนและหัวครู เครื่องดนตรีปี่พาทย์ก็กระจัดกระจายหายไปหมด และยังแอบรออนุชนรุ่นหลังได้สืบสานให้คงอยู่คู่เมืองขุขันธ์ตลอดไป ทั้งนี้ ได้มีนักเรียน นักศึกษาที่สนใจ จากกรมศิลปากร,วิทยาลัยนาฎศิลป์ต่างๆ มาขอเรียนท่าของตัวละครบางตัว เช่น ลิง,หณุมาณ อยู่บ่อยๆ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลศรีประชานุกูลได้ทำการรื้อฟื้นการแสดงโขนขุขันธ์ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้นักเรียนในชุมชนุมโขนขุขันธ์อนุบาลศรีประชานุกูล เป้นผู้แสดง มีคณะครู/บุคลากรในโรงเรียน และคุณครูผู้สอนที่เคยแสดงโขนเมื่อปี พ.ศ. 2511-2515 เป็นผู้ฝึกซ้อมร่วมด้วย เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ และสืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่โดดเด่นสืบไป
ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 สภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลศรีประชานุกูลได้ทำการรื้อฟื้นการแสดงโขนขุขันธ์ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้นักเรียนในชุมชนุมโขนขุขันธ์อนุบาลศรีประชานุกูล เป้นผู้แสดง มีคณะครู/บุคลากรในโรงเรียน และคุณครูผู้สอนที่เคยแสดงโขนเมื่อปี พ.ศ. 2511-2515 เป็นผู้ฝึกซ้อมร่วมด้วย เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ และสืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่โดดเด่นสืบไป
เรื่องย่อรามเกียรติ์ ชุดยกรบ
ตอนหนุมานกล่องดวงใจและหย่าทัพ
ทศกัณฐ์ยกทัพรบกับพระรามแต่ทำอย่างไรก็ตามทศกัณฐ์ก็ไม่ตายจึงทูลว่าทศกัณฐ์ถอดดวงใจฝากไว้ที่ฤาษีโคบุตร หนุมานจึงอาสาไปนำกล่องดวงใจโดยให้องคตไปด้วยและทำทีขอให้ฤาษีโคบุตรช่วยพาไปถวายตัวจึงรับหนุมานไว้เป็นลูกบุญธรรม
ฉากที่ 1 ทศกัณฐ์ว่าราชการ มีความสงสัยว่าเหตุไฉนหนุมานถึงไม่เคยไหว้ตน หนุมานตอบว่าตนเองเกิดมาจากพระพาย การที่จะไหว้ใครต้องไหว้พระพายก่อน ซึ่งในกรุงลงกาไม่มีลมจึงไม่เคยได้ไหว้ ทศกัณฐ์ได้ถามถึงเรื่องการยกทัพไปรบกับพระรามหนุมานได้โอกาสที่จะแสดงตนว่ามีความจงรักภักดี จึงออกอุบายจะอาสาเป็นทัพหน้าไปตีเมืองเมืองพระราม ส่วนทศกัณฐ์ให้อยู่เป็นทับหลัง
ฉากที่ 2 ตรวจพล มโหธรเตรียมกองทัพเพื่อรบกับฝ่ายพระราม(มโหธรเตรียมพล) หนุมานกับทศกัณฐ์ตรวจพล ทศกัณฐ์ชวนหนุมานออกรบ
ฉากที่ 3 ยกรบ หนุมานอาสาล่วงหน้าไปก่อน แต่ไปแอบซุ่มกองทัพไว้ทางอื่นแล้วแอบไปเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์รบกับพระรามพลาดพลั้งเสียท่าให้กับพระราม โดนศรพระรามเข้าข้างชายโครงแต่ก็ไม่ตาย หนุมานปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่องดวงใจของทศกัณฐ์ประกาศจะมอบกล่องดวงใจให้กับพระราม สุดแท้แต่จะพิพากษาตัดสินชีวิตของทศกัณฐ์ เมื่อทศกัณฐ์เห็นกล่องดวงใจของตน จึงรู้ว่าหลงกลหนุมาน เกิดความโมโหเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากที่อุตส่าห์ยกเมืองยกสมบัติให้ แต่ต้องมาถูกหักหลัง จึงอ้อนวอนกล่องดวงใจคืน แต่หนุมานไม่ยอมให้ แถมด่าทอว่าโง่ที่หลงกลตัวเอง ให้มอบนางสีดาคืนแก่พระราม แล้วตัวเองจะขอพระราชทานอภัยโทษให้ พระรามขอให้ทศกัณฐ์ทบทวนให้ดี ให้ยกทัพกลับ และมอบนางสีดากลับคืนมา แล้วจะไว้ชีวิต ทศกัณฐ์โกรธหนุมานมาก จึงทำการหย่าทัพ และยกทัพกลับไปแล้วจะขอมารบกันใหม่
อาจารย์บรรณ มากนวล,2547.
นายขวัญชัย ไชยโพธิ์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์,2562.
ขอบพระคุณภาพประกอบ : นายณฐกร ประเสริฐ รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์,2563.
ผู้ตรวจ/ทาน/เรียบเรียง : นายสุเพียร คำวงศ์,2556-2563.