พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๒
(เชียงขันธ์ - พุทธศักราช ๒๓๒๑ - ๒๓๒๕)
“พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ท่านที่ 2 ” หรือพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ ๒ (เชียงขันธ์ หรือหลวงปราบ) เดิมชื่อ “เชียงขันธ์” เป็นน้องชาย “ตากะจะ” เมื่อครั้งยังเป็นผู้ช่วยนายกองหมู่บ้านคู่บารมีตากะจะ เมื่อครั้งปี พ.ศ. 2302 ก็เป็นผู้ร่วมคณะช่วยจับพญาช้างเผือกมงคลร่วมกับกับหัวหน้าเขมรป่าดงคนอื่น ๆ มีความชอบได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็น “หลวงปราบ” ผู้ช่วยราชการเมืองขุขันธ์ เมื่อครั้งเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์และเมืองสังขะ ได้จัดทัพร่วมกับทัพส่วนกลาง ยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2319 หลวงปราบได้แสดงความสามารถในเชิงการรบจนได้รับการยกย่องว่าเป็นทหารเอกแห่งทัพเมืองขุขันธ์ หลังจากยกทัพกลับยังได้นำนางคำเวียง หญิงหม้ายตระกูลขุนนางจากเวียงจันทน์ และยกย่องให้เป็นภรรยาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นางคำเวียง ยังมีบุตรชายติดมาด้วยชื่อ ท้าวบุญจันทร์ หลวงปราบได้รับเป็นบุตรบุญธรรม ภายหลังท้าวบุญจันทร์ บุตรบุญธรรมผู้นี้ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 3 หลวงปราบ มีบุตรที่เกิดจากภรรยาคนแรก ได้แก่ ท้าวกิ่ง ท้าววัง และท้าวรส
ในปี พ.ศ. 2321 ปีเดียวกันนี้เอง หลังจาก “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” (ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 1 ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว หลวงปราบ หรือ เชียงขันธ์ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ได้รับบรรดาศักดิ์ในราชทินนาม “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” ตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 ปกครองเมืองขุขันธ์สืบต่อต่อมา อีกทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท้าวอุ่นซึ่งเป็นบุตร “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน”(ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 1 ดำรงตำแหน่งปลัดเมืองขุขันธ์
ในเวลาเดียวกันเมื่อ “หลวงปราบ” ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ได้ไม่นาน ได้พิจารณาเห็นว่าบริเวณจุดที่ตั้งหลักเมืองและเมืองขุขันธ์เดิมไม่เหมาะที่จะพัฒนาให้รุ่งเรืองได้ อีกทั้งเพื่อให้เป็นไปตามที่เจ้าเมืองท่านที่ 1 คือ หลวงแก้วสุวรรณ หรือตากะจะได้ตั้งปณิธานเอาไว้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ว่าต้องการที่จะเลื่อนจุดที่ตั้งหลักเมืองและเมืองขุขันธ์อยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้น “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ ๒ ” (หลวงปราบ หรือ เชียงขันธ์ ) จึงได้ทำพิธีดำเนินการเลื่อนที่ตั้งเมืองขุขันธ์และหลักเมืองจากที่ตั้งเดิม คือ เลื่อนจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปยังที่ตั้งแห่งใหม่บริเวณหนองแตระ มีหลักฐานคือ การฝังหลักเมือง ณ มุมวัดกลาง อำเภอขุขันธ์ ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ในปัจจุบัน
ข้อสังเกต การเลื่อนที่ตั้งเมืองขุขันธ์จากที่ตั้งเดิมกับที่ตั้งเมืองขุขันธ์ใหม่จะอยู่ไม่ไกลนักกับบ้านบก ที่หลวงปราบ หรือ เชียงขันธ์ นำหญิงหม้ายชื่อ นางคำเวียง จากเวียงจันทน์ พร้อมบริวารมาพำนักและยกย่องให้เป็นภรรยา (บ้านบก หมู่ที่ 13 ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เขียน นั่นเอง)
ปี พ.ศ. 2324 ยังอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) ทางประเทศกัมพูชาเกิดความขัดแย้งจนเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในประเทศ พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปปราบ การยกทัพไปปราบจลาจลที่กัมพูชาในครั้งนี้ได้มีบัญชาให้ทัพจากเมืองขุขันธ์ร่วมยกทัพไปปราบด้วยในขณะที่กำลังทำการปราบปรามระงับศึกการจลาจลอยู่นั้น ได้รับแจ้งข่าวว่าที่กรุงธนบุรี กำลังเกิดการจลาจลสร้างความไม่สงบขึ้นเช่นเดียวกัน ส่งผลให้การปราบจลาจลในกัมพูชา ยังไม่สำเร็จแต่ก็ต้องเสด็จยกทัพกลับ
ส่วนกองทัพจากเมืองขุขันธ์ ที่ได้ยกทัพไปช่วยปราบจลาจลในครั้งนี้ เมื่อยกทัพกลับ ได้กวาดต้อนเอาชาวกัมพูชาบางส่วนมาอยู่ที่เมืองขุขันธ์ ด้วยหลายครอบครัว
ปี พ.ศ. 2325 เป็นสมัยที่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ในปีนี้นับว่าเป็นปีที่สำคัญและมีความหมายต่อประวัติศาสตร์ของเมืองขุขันธ์ อีกวาระหนึ่งที่เจ้าเมืองขุขันธ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ จากราชทินนามเดิม “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ” เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 2 (หลวงปราบ) ในราชทินนามใหม่ว่า “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2
ดังนั้นจึงทำให้ “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” (เชียงขันธ์ หรือ หลวงปราบ) ได้ใช้ ราชทินนามใหม่ว่า “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 2 ตั้งแต่บัดนั้นมา และเนื่องจากเป็นราชทินนามที่โปรดเกล้าฯ ให้เป็นราชทินนามประจำตำแหน่ง “เจ้าเมืองขุขันธ์” จึงทำให้เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 ถึงท่านที่ 9 ได้ใช้ราชทินนาม “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เป็นราชทินนามประจำตำแหน่งและประจำตัว แม้จะได้เปลี่ยนตำแหน่งเจ้าเมืองมาเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองแล้วก็ตาม
ในปีเดียวกันนี้ คือ ปี พ.ศ. 2325 หลังจาก “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 2 (หลวงปราบ) ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานราชทินนามใหม่เป็น “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” แล้วก็ได้ขอให้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “ท้าวบุญจันทร์” บุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นบุตรชายติดมากับหญิงหม้ายตระกูลขุนนางจากเวียงจันทน์ (ภรรยาใหม่) ให้มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระไกร” ตำแหน่งผู้ช่วยเมืองขุขันธ์ ต่อมา พระไกร มีความโกรธแค้นไม่พอใจเจ้าเมือง ขุขันธ์ฐานะบิดาบุญธรรม ซึ่งมักจะกล่าวเรียก พระไกร ด้วยความเอ็นดูว่า “ลูกเชลย” ต่อหน้าผู้คนเสมอ ๆ ทำให้พระไกร เกิดความอับอายกลายเป็นความแค้น มีอคติผูกพยาบาทอาฆาตแค้นต่อเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาบุญธรรมมากขึ้นโดยลำดับจึงคิดที่จะกำจัด ซึ่งก็มิได้บอกกล่าวหรือแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้และทราบเรื่องมาก่อนแม้แต่น้อย
ต่อมาความคิดดังกล่าวของ “พระไกร” ที่มีต่อบิดาบุญธรรมผู้เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ ก็สบโอกาสเมื่อมีชาวญวน จำนวน 30 คน ได้เดินทางข้ามมาในเขตเมืองขุขันธ์ โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ทราบเพียงแต่ว่าชาวญวนคณะนี้มีอาชีพเป็นพ่อค้าเดินทางเข้ามาในเขตเมืองขุขันธ์เพื่อมาหาซื้อวัว ควาย (โค กระบือ) โดยที่ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2(หลวงปราบ) เจ้าเมืองขุขันธ์ได้อำนวยความสะดวกและให้การต้อนรับคณะชาวญวนคณะนี้เป็นอย่างดี อย่างผิดสังเกต โดยได้ทำการจัดที่พักให้ที่ศาลาว่าการเมืองขุขันธ์ แล้วยังได้เกณฑ์ผู้คนเมืองขุขันธ์ตัดถนน เป็นเส้นทางให้กลุ่มคณะพ่อค้าได้เดินทางไป-กลับได้อย่างสะดวกโดยทำผ่านช่องโพย
เหตุการณ์ครั้งนี้ฝ่าย “พระไกร” ผู้ช่วยเมืองขุขันธ์ทราบดี เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะกำจัดชำระแค้นที่มีอยู่ จึงได้มีหนังสือแจ้งเรื่องราวกล่าวโทษ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ ไปยังราชการส่วนกลางคือ กรุงเทพฯว่า “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” (หลวงปราบ) เจ้าเมืองขุขันธ์ว่า ได้ทำการร่วมคบคิดกับญวนชาวต่างแดนที่น่าจะส่อไปในทาง เป็นกบฏต่อสยามประเทศพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน”(หลวงปราบ) เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้พิจารณาความ ผลการพิจารณาความ ได้ความว่า เป็นความสัตย์จริงและเชื่อตามที่ “พระไกร”กล่าวหา จึงทำให้เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 (หลวงปราบ) ถูกสั่งจำคุกอยู่ที่กรุงเทพฯ และเป็นไปตามความคาดหมายของพระไกร พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดไว้วางใจ จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ “พระไกร” ผู้ช่วยเจ้าเมืองขุขันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 3 ในราชทินนาม “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” ซึ่งถือเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวที่ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ตรงกับ พ.ศ. 2325
ส่วนเจ้าเมืองขุขันธ์ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” (หลวงปราบ) เมื่อได้ถูกจำคุกอยู่ที่กรุงเทพฯ ครบ 2 ปี ถึงแม้ท่านจะถูกจำคุก แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ 2 ที่สร้างคุณประโยชน์อย่างยิ่งแม้จะอยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ ได้เพียงประมาณ 4 ปี และเมื่อพ้นโทษแล้วได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับมาอยู่ใช้ชีวิต ที่เมืองขุขันธ์ จนถึงแก่อนิจกรรม
ในปี พ.ศ. 2321 ปีเดียวกันนี้เอง หลังจาก “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” (ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 1 ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว หลวงปราบ หรือ เชียงขันธ์ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ได้รับบรรดาศักดิ์ในราชทินนาม “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” ตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 ปกครองเมืองขุขันธ์สืบต่อต่อมา อีกทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท้าวอุ่นซึ่งเป็นบุตร “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน”(ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 1 ดำรงตำแหน่งปลัดเมืองขุขันธ์
ในเวลาเดียวกันเมื่อ “หลวงปราบ” ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ได้ไม่นาน ได้พิจารณาเห็นว่าบริเวณจุดที่ตั้งหลักเมืองและเมืองขุขันธ์เดิมไม่เหมาะที่จะพัฒนาให้รุ่งเรืองได้ อีกทั้งเพื่อให้เป็นไปตามที่เจ้าเมืองท่านที่ 1 คือ หลวงแก้วสุวรรณ หรือตากะจะได้ตั้งปณิธานเอาไว้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ว่าต้องการที่จะเลื่อนจุดที่ตั้งหลักเมืองและเมืองขุขันธ์อยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้น “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ ๒ ” (หลวงปราบ หรือ เชียงขันธ์ ) จึงได้ทำพิธีดำเนินการเลื่อนที่ตั้งเมืองขุขันธ์และหลักเมืองจากที่ตั้งเดิม คือ เลื่อนจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปยังที่ตั้งแห่งใหม่บริเวณหนองแตระ มีหลักฐานคือ การฝังหลักเมือง ณ มุมวัดกลาง อำเภอขุขันธ์ ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ในปัจจุบัน
ข้อสังเกต การเลื่อนที่ตั้งเมืองขุขันธ์จากที่ตั้งเดิมกับที่ตั้งเมืองขุขันธ์ใหม่จะอยู่ไม่ไกลนักกับบ้านบก ที่หลวงปราบ หรือ เชียงขันธ์ นำหญิงหม้ายชื่อ นางคำเวียง จากเวียงจันทน์ พร้อมบริวารมาพำนักและยกย่องให้เป็นภรรยา (บ้านบก หมู่ที่ 13 ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เขียน นั่นเอง)
ปี พ.ศ. 2324 ยังอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) ทางประเทศกัมพูชาเกิดความขัดแย้งจนเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในประเทศ พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปปราบ การยกทัพไปปราบจลาจลที่กัมพูชาในครั้งนี้ได้มีบัญชาให้ทัพจากเมืองขุขันธ์ร่วมยกทัพไปปราบด้วยในขณะที่กำลังทำการปราบปรามระงับศึกการจลาจลอยู่นั้น ได้รับแจ้งข่าวว่าที่กรุงธนบุรี กำลังเกิดการจลาจลสร้างความไม่สงบขึ้นเช่นเดียวกัน ส่งผลให้การปราบจลาจลในกัมพูชา ยังไม่สำเร็จแต่ก็ต้องเสด็จยกทัพกลับ
ส่วนกองทัพจากเมืองขุขันธ์ ที่ได้ยกทัพไปช่วยปราบจลาจลในครั้งนี้ เมื่อยกทัพกลับ ได้กวาดต้อนเอาชาวกัมพูชาบางส่วนมาอยู่ที่เมืองขุขันธ์ ด้วยหลายครอบครัว
ปี พ.ศ. 2325 เป็นสมัยที่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ในปีนี้นับว่าเป็นปีที่สำคัญและมีความหมายต่อประวัติศาสตร์ของเมืองขุขันธ์ อีกวาระหนึ่งที่เจ้าเมืองขุขันธ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ จากราชทินนามเดิม “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ” เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 2 (หลวงปราบ) ในราชทินนามใหม่ว่า “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2
ดังนั้นจึงทำให้ “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” (เชียงขันธ์ หรือ หลวงปราบ) ได้ใช้ ราชทินนามใหม่ว่า “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 2 ตั้งแต่บัดนั้นมา และเนื่องจากเป็นราชทินนามที่โปรดเกล้าฯ ให้เป็นราชทินนามประจำตำแหน่ง “เจ้าเมืองขุขันธ์” จึงทำให้เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 ถึงท่านที่ 9 ได้ใช้ราชทินนาม “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เป็นราชทินนามประจำตำแหน่งและประจำตัว แม้จะได้เปลี่ยนตำแหน่งเจ้าเมืองมาเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองแล้วก็ตาม
ในปีเดียวกันนี้ คือ ปี พ.ศ. 2325 หลังจาก “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 2 (หลวงปราบ) ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานราชทินนามใหม่เป็น “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” แล้วก็ได้ขอให้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “ท้าวบุญจันทร์” บุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นบุตรชายติดมากับหญิงหม้ายตระกูลขุนนางจากเวียงจันทน์ (ภรรยาใหม่) ให้มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระไกร” ตำแหน่งผู้ช่วยเมืองขุขันธ์ ต่อมา พระไกร มีความโกรธแค้นไม่พอใจเจ้าเมือง ขุขันธ์ฐานะบิดาบุญธรรม ซึ่งมักจะกล่าวเรียก พระไกร ด้วยความเอ็นดูว่า “ลูกเชลย” ต่อหน้าผู้คนเสมอ ๆ ทำให้พระไกร เกิดความอับอายกลายเป็นความแค้น มีอคติผูกพยาบาทอาฆาตแค้นต่อเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาบุญธรรมมากขึ้นโดยลำดับจึงคิดที่จะกำจัด ซึ่งก็มิได้บอกกล่าวหรือแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้และทราบเรื่องมาก่อนแม้แต่น้อย
ต่อมาความคิดดังกล่าวของ “พระไกร” ที่มีต่อบิดาบุญธรรมผู้เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ ก็สบโอกาสเมื่อมีชาวญวน จำนวน 30 คน ได้เดินทางข้ามมาในเขตเมืองขุขันธ์ โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ทราบเพียงแต่ว่าชาวญวนคณะนี้มีอาชีพเป็นพ่อค้าเดินทางเข้ามาในเขตเมืองขุขันธ์เพื่อมาหาซื้อวัว ควาย (โค กระบือ) โดยที่ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2(หลวงปราบ) เจ้าเมืองขุขันธ์ได้อำนวยความสะดวกและให้การต้อนรับคณะชาวญวนคณะนี้เป็นอย่างดี อย่างผิดสังเกต โดยได้ทำการจัดที่พักให้ที่ศาลาว่าการเมืองขุขันธ์ แล้วยังได้เกณฑ์ผู้คนเมืองขุขันธ์ตัดถนน เป็นเส้นทางให้กลุ่มคณะพ่อค้าได้เดินทางไป-กลับได้อย่างสะดวกโดยทำผ่านช่องโพย
เหตุการณ์ครั้งนี้ฝ่าย “พระไกร” ผู้ช่วยเมืองขุขันธ์ทราบดี เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะกำจัดชำระแค้นที่มีอยู่ จึงได้มีหนังสือแจ้งเรื่องราวกล่าวโทษ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” เจ้าเมืองขุขันธ์ ไปยังราชการส่วนกลางคือ กรุงเทพฯว่า “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” (หลวงปราบ) เจ้าเมืองขุขันธ์ว่า ได้ทำการร่วมคบคิดกับญวนชาวต่างแดนที่น่าจะส่อไปในทาง เป็นกบฏต่อสยามประเทศพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน”(หลวงปราบ) เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้พิจารณาความ ผลการพิจารณาความ ได้ความว่า เป็นความสัตย์จริงและเชื่อตามที่ “พระไกร”กล่าวหา จึงทำให้เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 (หลวงปราบ) ถูกสั่งจำคุกอยู่ที่กรุงเทพฯ และเป็นไปตามความคาดหมายของพระไกร พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดไว้วางใจ จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ “พระไกร” ผู้ช่วยเจ้าเมืองขุขันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 3 ในราชทินนาม “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” ซึ่งถือเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวที่ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ตรงกับ พ.ศ. 2325
ส่วนเจ้าเมืองขุขันธ์ “พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน” (หลวงปราบ) เมื่อได้ถูกจำคุกอยู่ที่กรุงเทพฯ ครบ 2 ปี ถึงแม้ท่านจะถูกจำคุก แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ 2 ที่สร้างคุณประโยชน์อย่างยิ่งแม้จะอยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ ได้เพียงประมาณ 4 ปี และเมื่อพ้นโทษแล้วได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับมาอยู่ใช้ชีวิต ที่เมืองขุขันธ์ จนถึงแก่อนิจกรรม
ขอบพระคุณผู้เขียน : นายนิติภูมิ ขุขันธิน,2547.