ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัตเมืองขุขันธ์ ฉบับย่อ

เมืองสด๊กโคกขัณฑ์ หรือ โคกขัณฑ์ คือชื่อเมืองขุขันธ์ในอดีต มีความเก่าแก่ร่วมสมัยมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรขอมโบราณ
     อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งเดิมของ เมืองขุขันธ์    อดีตเมืองเก่าแก่ที่สำคัญร่วมสมัยมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรขอมโบราณ และเป็นเส้นทางผ่านการสร้างปราสาทและเดินทางไปมาหาสู่กันของชาวสยามโคกโบราณแห่งดินแดนที่ราบสูงอีสานใต้ไปยังเมืองพระนครในอดีต​​​ โดยชื่อของ  เมืองขุขันธ์  มีหลักฐานปรากฎครั้งแรกในศิลาจารึกปราสาทพระวิหาร ๑ ศก.๕ ด้านที่ ๑ เมื่อปีมหาศักราศ ๙๕๙ ตรงกับ พุทธศักราช ๑๕๘๐ พร้อมกับชื่อของเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรกในยุคขอมโบราณคือ พระก็อมรอแตงชคตศรีขัณฑเรศวรแห่งเมืองสด๊กโคกขัณฑ์  
        และเมื่อวิวัฒน์มาถึงยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองขุขันธ์ถูกจัดเป็นหัวเมืองปักษ์ใต้ที่สำคัญเมืองเมืองหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ได้เคยร่วมเดินทัพกับทางราชสำนักสยามหลายครั้งหลายครา
         โดยในปี พุทธศักราช ๒๐๕๑ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น (ครองราชย์ พุทธศักราช 2034 – 2072) กลุ่มชาวสยามโคก หรือชาวสยามแห่งดินแดนที่ราบสูงอีสานใต้ จากเมืองโคกขัณฑ์ ได้ส่งกองทัพไปช่วย พระเจ้าศรีสุคนธบท ทำศึกปราบ ขุนหลวงกอน ผู้เป็นกบฏตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองตวลบาสาน ซึ่งเป็นราชธานีของอาณาจักรเขมรสมัยหลังเมืองพระนคร ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองประเทศราชของสยาม 
         ในปี พุทธศักราช ๒๐๙๙ กองทัพจากเมืองโคกขัณฑ์ หรือเมืองขุขันธ์ในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ได้ร่วมเดินทัพกับ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ครองราชย์ พุทธศักราช๒๐๙๑–๒๑๑๑) ทรงยกทัพไปตีเมืองละแวก ครั้งแรก
         และในปีพุทธศักราช๒๑๓๔  ตรงกับสมัยพระภิกษุประทา  ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดบ้านลำภู  เมืองขุขันธ์ ​ได้ส่งกองทัพร่วมกับ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไปปราบสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แห่งกรุงละแวก ซึ่งมักยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งในช่วงทีเผลอคราวพลาด และได้รับชัยชนะในปี พุทธศักราช ๒๑๓๗
          ผ่านมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ ในปีพุทธศักราช ๒๓๐๒ ตาสุ หรือ ตาไกร ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า ตากัญจะฮฺ (ตากะจะ) เนื่องจากท่านเป็นนักรบรูปร่างสูงใหญ่  เป็นหัวหน้าชาวเขมรป่าดง ร่วมกับเชียงขันธ์ ผู้น้อง  แห่งหมู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน อันเป็นชุมชนโบราณดั้งเดิมของเมืองขุขันธ์ ได้ร่วมกันกับทหารเอกคู่พระทัย คือทองด้วง (อดีตล้นเกล้า ร.1) และบุญมา(อดีตกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) พร้อมด้วยหัวหน้ากลุ่มเขมรป่าดงหมู่บ้านอื่นในละแวกใกล้เคียงกันที่ชำนาญการจับช้างได้แก่ เชียงปุม แห่งบ้านเมืองที เชียงสี แห่งบ้านกุดหวาย เชียงฆะ แห่งบ้านอัจจะปะนึง และเชียงไชย แห่งบ้านจาระพัด จับพระยาช้างเผือก ของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ได้แตกโรงหนีออกจากโรงช้างเตลิดเข้าป่าโดยมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออกสู่ป่าเขตเทือกเขาพนมดงเร็ก  ได้ออกติดตามจนพบ สามารถจับพระยาช้างเผือกได้ และตามคณะนำส่งถึงกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ตากะจะ หรือตาไกร เป็นหลวงแก้วสุวรรณ ตำแหน่งนายกองหัวหน้าหมู่บ้าน และเชียงขันธ์เป็นหลวงปราบ ผู้ช่วยนายกองหัวหน้าหมู่บ้านในสถานะราชการขึ้นตรงต่อการปกครองของกรุงศรีอยุธยา และต่อมา ตากะจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น  พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านแรกในยุคบั้นปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบ้านแปลงเมืองขุขันธ์ ที่มีพัฒนาการความรุ่งเรืองในฐานะเมืองสำคัญของภูมิภาคนี้ตั้งแต่บัดนั้น
          ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ เป็นตำแหน่ง ผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์
         ปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ยุบเมืองศีร์ษะเกษและเมืองเดชอุดม โดยให้อำเภอที่ขึ้นกับเมืองทั้งสองไปขึ้นกับเมืองขุขันธ์ ทำให้เมืองศีร์ษะเกษ เมืองเดชอุดม สิ้นสภาพความเป็นเมืองตั้งแต่บัดนั้นมา
         ปลายปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ย้ายเฉพาะศาลาว่าราชการเมืองขุขันธ์ จากที่ตั้งเดิม(อำเภอเมืองขุขันธ์) ไปตั้งบริเวณศาลากลางเมืองศีรษะเกษ แต่ยังคงใช้ชื่อ ศาลาว่าราชการเมืองขุขันธ์ ส่วนพื้นที่อำเภอเมืองขุขันธ์ยังอยู่ ณ ที่ตั้งเดิม
         ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเมืองขุขันธ์ เป็นชื่อ จังหวัดขุขันธ์
         ปีพุทธศักราช ๒๔๖๐ เปลี่ยนชื่ออำเภอเมืองขุขันธ์ เป็น อำเภอห้วยเหนือ
         ปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นชื่อจังหวัดศีร์ษะเกษ และเปลี่ยนชื่อ อำเภอห้วยเหนือ เป็นชื่อ อำเภอขุขันธ์ ในที่สุด

เมืองขุขันธ์ในอดีต หากกล่าวถึงเฉพาะในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ถึง กรุงรัตนโกสินทร์  มีผู้ดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองขุขันธ์ ๙ ท่าน 
      เมืองขุขันธ์ดังได้กล่าวแล้วว่า  โดยในฐานะเมืองในอดีตเป็นเมืองขนาดใหญ่  (ตั้งขึ้นเป็นเมืองก่อนเมืองใด ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ ) การปกครองบ้านเมืองของไทยในอดีตโดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยา  สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น  จนถึงยุคปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลนั้น  ได้ยึดหลักเดิมที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  พระมหากษัตริย์องค์ที่  ๘  แห่งกรุงศรีอยุธยา  ทรงกำหนดไว้จะมีวิธีการแตกต่างไปบ้าง  ก็เพียงแต่ทรงมอบอำนาจไม่ให้เสนาบดีก้าวก่ายกัน  อันมีสืบมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา  ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับยุคสมัยจึงยุติว่า  กรุงรัตนโกสินทร์ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชองค์พระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรมและทรงใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด  ผู้ใดจะขัดขืนต่ออำนาจหรือโต้แย้งพระบรมราชโองการมิได้  โดยกำหนดเป็นศูนย์ปกครองแยกเป็น  3  รูปแบบ ได้แก่
1. รูปแบบเมืองราชธานี
2. รูปแบบเมืองหัวเมือง
3. รูปแบบเมืองประเทศราช
สำหรับเมืองขุขันธ์  ถือว่าปกครองในรูปแบบหัวเมืองแบบจตุสดมภ์  คือเป็นแบบที่มีลักษณะที่คล้ายองค์กรปกครองราชธานี  เริ่มมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นแบบเดิมของไทย  โดยดัดแปลงมาจากแบบของเขมร อันเป็นวัฒนธรรมปกครองหัวเมือง "แบบเจ้าเมืองกินเมือง"  แยกลักษณะองค์กรออกเป็น  5  ตำแหน่ง  คือ  คณะอาชญาสิทธิ์  ผู้ช่วยคณะอาชญาสิทธิ์  กรมการเมืองพิเศษ  กรมการเมืองผู้ช่วยและพนักงาน
คณะอาชญาสิทธิ์ คือ  คณะผู้บัญชาสิทธิ์ขาด  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  คณะกรรมการเมืองใหญ่  พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  แต่งตั้ง  "เจ้าเมือง"   ผู้ว่าราชการเมือง  หรือผู้สำเร็จราชการเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็น   พระ,  พระยา, และ เจ้าพระยา   ถือบรรดาศักดิ์ตามฐานะของเมืองทรงมอบอำนาจให้ปกครอง  บังคับบัญชา  ปลัดเมืองยกบัตรเมือง  กรมการเมืองและราชการในเมืองนั้น ๆ  ถ้ามีเมืองขึ้นให้บังคับบัญชาเมืองขึ้นด้วย  และทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งกรมการเมืองผู้ใหญ่ร่วมเป็นคณะอาชญาสิทธิ์  ประกอบด้วย
1. เจ้าเมือง
2. ปลัดเมือง
3. ยกบัตรเมือง
4. ผู้ช่วยราชการเมือง ( บางเมืองมีหลายคน )
5. กรมการพิเศษเมือง
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า จุดกำเนิดของเมืองขุขันธ์สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยาเป็นราชธานี  ซึ่งตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์  มีเหตุการณ์เกิดขึ้น  คือ  พญาช้างเผือกได้แตกโรงหนีจากอยุธยาเข้าป่ามุ่งสู่ชายแดนไทย - เขมร แถบภูเขาพนมดงรัก  จึงได้โปรดให้นายทองด้วงและนายบุญมา สองพี่น้องที่เป็นทหารเอกแห่งกรุงศรีอยุธยาออกติดตามพญาช้างเผือก  โดยมาถึงเมืองพิมาย  เจ้าเมืองพิมายนำคณะไปพบหัวหน้าหมู่บ้านเขมรป่าดงในเขตสุรินทร์  แต่ยังมิได้ข่าวพญาช้างเผือกแต่อย่างใดจึงนำคณะไปพบกับหัวหน้าชาวเขมรป่าดงซึ่งเป็นพรานที่มีความชำนาญในการจับช้าง  ชื่อว่า "ตากะจะ" และ "เชียงขันธ์" ที่อยู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน จึงได้ข่าวว่ามีช้างเผือกมาอยู่กับฝูงช้างป่าจริง หัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง  6 คน สามารถจับพญาช้างเผือกได้  และมอบให้คณะผู้ติดตามนำกลับกรุงศรีอยุธยาด้วยความปิติยินดีของคณะผู้ติดตามยังความดีความชอบของหัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง  6  คน จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ  บรรดาศักดิ์ ในระดับ "หลวง" ทุกคน สำหรับ"ตากะจะ" หัวหน้าเขมรป่าดงบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ได้รับโปรดเกล้า ฯให้บรรดาศักดิ์เป็น "หลวงแก้วสุวรรณ"  ทำหน้าที่นายกองหัวหน้าหมู่บ้าน  และทำราชการขึ้นต่อเมืองพิมาย หลวงแก้วสุวรรณได้สร้างบ้านแปลงเมืองรวบรวมไพร่พลพอสมควรแล้วได้ทรงโปรดเกล้า ฯ  ให้ยกฐานะ "บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน" ขึ้นเป็น "เมืองขุขันธ์"  และโปรดเกล้า ฯให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ "หลวงแก้วสุวรรณ" เป็น "พระไกรภักดีศรีนครลำดวน"  และบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายในราชทินนาม "พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน" เป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองขุขันธ์เป็นคนแรกในยุคบั้นปลายกรุงศรีอยุธยา
  
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2306  จนถึงปี พ.ศ. 2450 มีการเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ทำให้มีเจ้าผู้ครองเมืองขุขันธ์ในฐานะบรรดาศักดิ์ "พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน" และ"พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  เจ้าเมืองขุขันธ์"  สืบทอดอำนาจปกครองโดยสืบสายสกุลต่อเนื่องจนถึงลำดับที่  9  และเมื่อเข้าสู่สมัยปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลทำให้ตำแหน่ง  "เจ้าเมืองกินเมือง"  หรือ  "เจ้าเมือง"  หมดไป  โดยเปลี่ยนเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองจนกระทั่งปัจจุบันเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดในที่สุด
   
เมืองขุขันธ์ ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ถึง กรุงรัตนโกสินทร์มีผู้ปกครองในตำแหน่ง เจ้าเมือง รวม  ๙  ท่าน ดังนี้ (โปรดคลิกที่รูปเจ้าเมืองแต่ละท่าน เพื่ออ่านประวัติ)

            
                     
ภาพวาด                                   ภาพจากAI
๑. พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน หรือ ตากะจะ หรือหลวงแก้วสุวรรณ
เป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรก ในยุคบั้นปลายกรุงศรีอยุธยา
(ตากะจะ - พุทธศักราช ๒๓๐๒ - ๒๓๒๑)

            
                      ภาพวาด                                   ภาพจากAI
๒. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๒
(เชียงขันธ์ หรือ หลวงปราบ - พุทธศักราช ๒๓๒๑ - ๒๓๒๕)
       
            
                      ภาพวาด                                   ภาพจากAI
๓. พระยาขุขันธ์ ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๓
( ท้าวบุญจันทร์ หรือ พระไกร - พุทธศักราช ๒๓๒๕ - ๒๓๖๙)
ในหนังสือหอสมุดวชิรญาณ กล่าวถึงชื่อท่านอีกชื่อหนึ่ง
ในช่วงเกิดกรณีวิวาทเจ้าเมืองขุขันธ์ กับหลวงยกกระบัตรผู้น้องรบกันขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ เรียกว่า พระยาไกรสรสงครามเจ้าเมืองขุขันธ์


            
                     ภาพวาด                                  ภาพจากAI
๔. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๔
( ท้าวทองด้วง หรือ พระสังฆะบุรี  - พุทธศักราช ๒๓๗๑ - ๒๓๙๓)

            
                     ภาพวาด                                  ภาพจากAI
๕. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๕
( ท้าวใน หรือ หลวงภักดีภูธรสงคราม - พุทธศักราช ๒๓๙๓ )


           
                     ภาพวาด                                  ภาพจากAI
๖. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๖
( ท้าวนวน หรือ พระแก้วมนตรี - พุทธศักราช ๒๓๙๓ )


           
                     ภาพวาด                                  ภาพจากAI
7. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๗
(ท้าวกิ่ง หรือ หลวงภักดีภูธรสงครามพุทธศักราช ๒๓๙๓ - ๒๓๙๕)


           
                     ภาพวาด                                  ภาพจากAI
8. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๘
(ท้าววัง หรือ พระวิชัย - พุทธศักราช ๒๓๙๕ - ๒๔๒๖)


           
                   ภาพวาด                                  ภาพจากAI
๙. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๙
(ท้าวปาน หรือ ปัญญา ขุขันธิน - พุทธศักราช ๒๔๒๖- ๒๔๔๐
/ ผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ - ๒๔๕๐)
ได้รับโปรดเกล้าพระราชทานนามสกุล "ขุขันธิน")

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย