สร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ตามลัทธิความเชื่อของศาสนาฮินดู ขุดพบที่บัลลังก์เก่าแก่ห่างจากวัดเจ๊กประมาณ ๗๐๐ เมตร ฐานศิวลึงค์ทำมาจากหินทราย ซึ่งเป็นชั้นหินใต้สุดที่ได้ขุดพบขึ้นมามีลักษณะอ่อนนิ่ม เมื่อนำมาประดิษฐ์หรือแกะสลักตามลักษณะของรูปร่างแล้วทิ้งไว้พักหนึ่งหินก็จะแข็งตัว
ลักษณะพิเศษของหินทราย เป็นหินที่ละเอียดและแข็งแกร่งนำมาก่อสร้างโบราณสถานของขอมสมัยโบราณนิยมนำหินทรายมาแกะสลักทับหลังรูปต่าง ๆ เช่น ศิลาทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทับหลังพระอิศวรทรงโค ศิลาที่ทับหลังพระอินทร์ทรงช้าง เป็นต้น เพราะเนื้อหินมีผิวที่ละเอียดสวยงาม
ลักษณะทั่วไป เป็นฐานสี่เหลี่ยมสูง ๔ ชั้น ย่อชั้นบนสุดจะมีขนาดเท่ากับฐานชั้นล่างมีรูตรงกลาง เป็นตำแหน่งเป็นที่วาง "ลิงค์" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของปราสาทกุดวัดโพธิ์พฤกษ์ (วัดเจ๊ก) อยู่ห่างจากอำเภอขุขันธ์ประมาณ ๕๐๐ เมตร ตามเส้นทางถนนสาย ขุขันธ์ – ศรีสะเกษ
หมายเหตุ ปราสาทเล็กๆในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และอำเภอใกล้เคียง ทุกวันนี้ได้ถูกทำลายเกือบหมด เพราะเมื่อประมาณ ๕๐ - ๖๐ ปี (ประมาณปี พ.ศ. 2490-2507) ที่ผ่านมา สมัยนั้น มีกลุ่มคนบางพวกนิยมซื้อขายวัตถุโบราณเก่าแก่ และตระเวนออกลักขุดของเก่าในบรเวณปราสาทต่างๆเอาออกไปขาย ตัวอย่างเช่น ปราสาทที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกโรงเรียนปรือใหญ่วิทยบัลลังก์ ในตำบลปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนทำให้ พระครูประกาศธรรมวัตร(หลวงพ่อสาย ปาโมกโข แห่งวัดตะเคียนราม) ต้องให้ชาวบ้านลาก "แท่นโยนี" ไปเก็บอนุรักษ์ไว้ที่บริเวณหน้าพระอุโบสถของวัดตะเคียนราม ตำบลตะเคียนราม อำเภอภูสิงห์ ในปัจจุบัน)...
หมายเหตุ ปราสาทเล็กๆในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ และอำเภอใกล้เคียง ทุกวันนี้ได้ถูกทำลายเกือบหมด เพราะเมื่อประมาณ ๕๐ - ๖๐ ปี (ประมาณปี พ.ศ. 2490-2507) ที่ผ่านมา สมัยนั้น มีกลุ่มคนบางพวกนิยมซื้อขายวัตถุโบราณเก่าแก่ และตระเวนออกลักขุดของเก่าในบรเวณปราสาทต่างๆเอาออกไปขาย ตัวอย่างเช่น ปราสาทที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกโรงเรียนปรือใหญ่วิทยบัลลังก์ ในตำบลปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนทำให้ พระครูประกาศธรรมวัตร(หลวงพ่อสาย ปาโมกโข แห่งวัดตะเคียนราม) ต้องให้ชาวบ้านลาก "แท่นโยนี" ไปเก็บอนุรักษ์ไว้ที่บริเวณหน้าพระอุโบสถของวัดตะเคียนราม ตำบลตะเคียนราม อำเภอภูสิงห์ ในปัจจุบัน)...