ในปี พ.ศ. 2437 รัฐบาลฝรั่งเศส ได้แต่งตั้งให้ เรสิดอง บัสตา เป็นแม่ทัพ พร้อมด้วยนายร้อยเอก โทเรอร์ และนายร้อยตรี โมโซ ร่วมกับ มองซิเออร์ ปรูโซ คุมกองทัพญวน จากเมืองไซ่ง่อนจำนวน 200 คน และยังได้กำลังจากเมืองเขมร เมืองพนมเปญ อีกเป็นจำนวนมากลงเรือ 33 ลำ พร้อมด้วยศาสตราวุธ ยกมาเป็นกระบวนทัพล่องขึ้นมา ตามลำแม่น้ำโขงเข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้ขับไล่ทหารที่รักษาด่านบาเลา แขวงเมืองเชียงแตง และด่านสามโบกยึดเอาเมืองทั้งสองได้ ต่อมาได้ยึดเมืองเชียงแตงอีก ทำให้ต้องเกิดสงครามขึ้น พระเจ้าอยู่หัวทรงมีบัญชาให้ พระประชาคดีกิจ ( แช่ม) ข้าหลวงฝ่ายไทย ประจำเมืองสีทันดรคอยปะทะและตีสกัดกั้นไว้และ ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาว ประทับอยู่ ณ เมืองอุบล ได้ขอกำลังพลจากเมืองขุขันธ์ เมืองศรีสะเกษ เมืองสุรินทร์ และเมืองมหาสารคาม รวมทั้งเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ 800 คน เมืองสุวรรณภูมิ เมืองยโสธร เมืองละ 500 คน ร่วมกันเป็นกองทัพยกไปสู้รบกับฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้กองทัพจากเมืองต่าง ๆ ดังกล่าวแต่ก็ยังไม่พอที่จะสู้รบกับกองทัพฝ่ายฝรั่งเศสได้ จึงได้เกณฑ์ไพร่พลจากเมืองขุขันธ์เพิ่มอีก 500 คน โดยให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ คุมกำลังไปตั้งทัพรักษาอยู่ ณ เมืองมโนไพรและเมืองเซลำเภา นอกจากนี้แล้ว พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงเทพนรินทร์ (วัน) ซึ่งกลับจากการปฏิบัติภารกิจที่เมืองตะโปน ไปเป็นข้าหลวงแทน พระศรีพิทักษ์ ประจำอยู่เมืองขุขันธ์ พร้อมทั้งได้มีบัญชาให้เมืองใหญ่ทุกเมืองในมณฑลลาวกาวเตรียมกำลังพลให้พร้อมไว้อีกเมืองละ 1,000 คน
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2437 พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์ ราชบุตรเมืองยโสธร คุมกำลังพลเมืองยโสธรจำนวน 500 คน และอุปราช (บัว) คุมไพร่พล จากเมืองกมลาสัย 500 คน รวมเป็น1,000 คน พร้อมศาสตราวุธยกพลไปสมทบกับกองทัพพระประชาและนายสุดจินดา ที่เมืองสีทันดร และยังโปรดเกล้าฯ ให้พระไชย ผู้ช่วยเมืองศรีสะเกษ คุมไพร่พล เมืองศรีสะเกษ อีก 500 คน พร้อมศาสตราวุธ ยกไปตั้งกองกำลังรักษาอยู่ ณ ช่องโพย และด่านพระประสบ แขวงเมืองขุขันธ์ โดยได้มีการเสริมกำลังอยู่ตลอดเวลา จนต้องเกิดการสู้รบกันขึ้น ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2437 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพจากเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ 500 คน ให้ยกไปช่วยพระประชา ณ ค่ายดอนสาคร นอกจากนี้ยังทรงให้เมืองจตุรพักร เมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม 525 คน ยกไปรักษา ณ เมืองมโนไพร และด่านลำจาก โดยได้ให้เปลี่ยนเอาพระศรีพิทักษ์ (หว่าง) กลับมาตั้งรักษาฐานที่มั่นอยู่ ณ ช่องโพย และให้นายร้อยตรีวาด ไปนำเอากำลังพลจาก ”เมืองขุขันธ์” อีกจำนวน 500 คน แล้วส่งไปเพิ่มเติมให้กองกำลัง พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) โดยให้เจ้าเมืองจากศรีสะเกษส่งเสบียงอาหารไปยังกองพระศรีพิทักษ์ ส่วนกองกำลังที่ได้ตั้งประจันหน้ากัน ณ บริเวณลำน้ำโขง ได้มีการต่อสู้กันด้วยปืนเล็ก ปืนใหญ่ กันเป็นระยะ ๆ ทำให้กำลังทั้งสองฝ่ายมีการล้มตายและบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ได้ยุติลงได้ในที่สุดโดยฝ่ายไทยได้เรียกกองทัพทุกกองกลับและตกลงทำสัญญากันใน วันที่ 3 ตุลาคม 2437 การทำศึกสงครามครั้งนี้กินเวลาครึ่งปี โดยมีกำลังพลจากเมืองขุขันธ์ เป็นกำลังสำคัญในการรักษาอาณาเขตประเทศสยามเอาไว้ได้ โดยหลังจากเสร็จศึกสงครามกับฝรั่งเศสในครั้งนี้แล้ว เจ้าเมืองขุขันธ์ คือ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 9 มีความชอบได้รับโปรดเกล้าฯ คำนำหน้าบรรดาศักดิ์ ในราชทินนามใหม่ว่า “อำมาตย์ตรี พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน”ตั้งแต่นั้นมา
ขอบพระคุณผู้เขียน : นายนิติภูมิ ขุขันธิน,2547.
ผู้ตรวจ/ทาน : นายสุเพียร คำวงศ์,2556.