-->
ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คณะติดตามช้างเผือกจากรุงศรีอยุธยาผ่านมาถึงบ้านปราสาทสีเหลี่ยมโคกลำดวนเพื่อขอความร่วมมือตากะจะและเชียงขันธ์ช่วยค้นหาและจับช้าง

               ในปีพุทธศักราช 2302 ตรงกับรัชสมัยในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ หรือ   สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (ก่อนจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ ) ได้เกิดเหตุอันไม่คาดฝัน กล่าวคือ ได้มีพญาช้างเผือกแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ตกมัน แตกโรงช้างหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา เตลิดหนีไปทางทิศตะวันออกโดยผ่านดินแดนแถบเทือกเขาดงพญาไฟ มุ่งหน้าเข้าสู่เขตเทือกเขาพนมดงรัก  
                 
               พระเจ้าเอกทัศน์ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สองพี่น้องซึ่งเป็นทหารเอกในสมัยนั้น คือ ทองด้วง กับ บุญมา(ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท)  คุมไพร่พลจำนวน ๓๐ คน ออกติดตามพญาช้างเผือก นำกลับกรุงศรีอยุธยา โดยคณะผู้ติดตามได้เดินทางถึงเมืองพิมาย เจ้าเมืองพิมายได้นำคณะผู้ติดตามไปพบและขอความร่วมมือช่วยเหลือจากหัวหน้าหมู่บ้านเขมรป่าดง  คือ เชียงสี  เชียงปุม  เชียงไชย และเชียงฆะ หรือ เชียงเกา  แต่ก็มิได้ข่าวคราวการหนีมาของพญาช้างเผือก แต่ประการใด  ดังนั้น หัวหน้าหมู่บ้านกลุ่มชนดังกล่าวจึงได้นำคณะผู้ติดตามไปพบเพื่อขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าเขมรป่าดงแห่งบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน คือ  "ตากะจะ  และเชียงขันธ์"  ระหว่างทางได้ผ่านชุมชนหนึ่งมีชาวบ้านได้นำมะกอกมาให้ทหารเอกสองพี่น้อง ไพร่พลและหัวหน้าหมู่บ้านชนชาวเขมรป่าดงที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันได้รับประทาน ทองด้วง (หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในอดีต)ได้ชมว่า มะกอกบ้านนี้รสหวานดียิ่งนัก จึงขนานนามบ้านนี้ว่า "บ้านกอกหวาน" ตั้งแต่นั้นมา(บ้านกอกหวาน เป็นหมู่บ้านหนึ่งในตำบลโพธิ์ศรี อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน) แล้วคณะติดตามพญาช้างเผือกก็เดินทางลัดเลาะผ่านทุ่งนายามหน้าแล้ง พบชาวบ้านกำลังใช้เสียมขุดดินหาปูจนเป็นหลุมมากมายบริเวณทุ่งนาแห่งนั้น  จึงได้ขนานนามบ้านนี้ว่า "บ้านหลุมปู" (หลายปีผ่านมา ชาวบ้านแถบนี้ เป็นชาวเขมรป่าดง พูดไทยได้ไม่ค่อยชัด และเมื่อมีผู้ผ่านไปมาถามว่า บ้านนี้ชื่อว่าบ้านอะไร ก็จะตอบด้วยภาษาไทยสำเนียงภาษาถิ่นเขมรปนไทยว่า "ลำปู" และออกเสียงเพี้ยนมาเป็นชื่อหมู่บ้านที่เป็นทางการในปัจจุบันว่า "บ้านลำภู" ในที่สุด)   คณะติดตามช้างได้เดินทางผ่านมาถึงอีกชุมชนหนึ่งซึ่งชาวบ้านได้นำน้ำที่ใสสะอาดมาคอยต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี และให้ความร่วมมือด้วยดีช่วยบอกทางไปพบตากะจะ หัวหน้าชาวเขมรป่าดงแห่งหมู่บ้านประสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ท่านจึงชมว่า บ้านนี้ช่างใจดียิ่งนัก จึงขนานนามชื่อบ้านนี้ว่า "บ้านใจดี"  แล้วคณะก็ได้ออกเดินทางต่อระหว่างทางได้พบชาวเขมรป่าดงกลุ่มหนึ่งล้วนเป็นชายผู้สูงวัยกำลังถางป่าทำไร่ เมื่อคณะตามช้างเดินทางผ่านมาและมีไพร่พลติดตามมาเป็นจำนวนมากก็ตกใจกลัว ท่านยังไม่ทันได้ไต่ถามอะไรเลย พวกตาแก่เหล่านั้นก็พากันกลัวถูกจับตัว ก็พาวิ่งหนีหลบเข้าป่าในบริเวณนั้นไป จึงขนามนามบ้านป่าแถบนั้นว่า "บ้านตากลัว" (เรียกชื่อหมู่บ้านเพี้ยนต่อๆกันมาเป็นชื่อหมู่บ้านที่เป็นทางการปัจจุบันว่า "บ้านตาโคล" ในที่สุด)  ห่างจากบ้านตากลัวไปทางทิศตะวันออกไม่ไกลนัก คณะก็ได้พบร่องรอยของพญาช้างเผือกและโขลงช้างป่าแวะลงเล่นน้ำในบริเวณลำห้วยกลางป่าทึบ ซึ่งชาวบ้านเรียกชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นเขมรมาจนถึงปัจุจุบันว่า "อันล็วงตำเร็ยซอ" (บริเวณแอ่งน้ำที่ลึกสุดของลำห้วยบริเวณนั้น ที่ชาวบ้านเขมรป่าดงในสมัยนั้นเคยพบว่ามีพญาช้างเผือก และโขลงช้างป่าผ่านมาทางนี้ลงเล่นน้ำกันอยู่ที่นี่ก่อนจะมุ่งหน้าออกไปยังผืนป่าใหญ่แห่งภูเขาพนมดงรัก ซึ่งปัจจุบัน "อันล็วงตำเร็ยซอ" อยู่ระหว่างสองหมู่บ้าน คือบ้านตาโคล ตำบลใจดี กับ บ้านบิง  ตำบลดองกำเม็ด อำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ หรืออยู่ตำแหน่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลดองกำเม็ด ปัจจุบัน ระยะทางประมาณ 430 เมตร )

แผนที่พิกัด "อันล็วงตำเร็ยซอ" (GPS : 14.761407, 104.190537)
ตำบลดองกำเม็ด  อำเภอขุขันธ์  จังหวัดศรีสะเกษ

นายไพศาล  นนทะสรณ์  อายุ ๗๒ ปี(ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗) ราษฎรอาวุโสบ้านพะเยียว  ภูมิปัญญาท้องถิ่นตำบลใจดี  อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
กำลังชี้จุดพิกัดของ "อันล็วงตำเร็ยซอ"


               กล่าวถึง ตากะจะ และเชียงขันธ์ เมื่อทราบว่ามีคณะติดตามช้างจากกรุงศรีอยุธยา พร้อมด้วยหัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง ๔ ท่านกำลังเดินทางมุ่งหน้ามายังบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ต่างก็ดีใจยิ่งนัก และพากันขี่ช้างพลายตัวใหญ่ออกไปต้อนรับ ณ บริเวณป่าใกล้ๆ"อันล็วงตำเร็ยซอ"  ซึ่งระหว่างทางเป็นป่ารกมาก  หัวหน้าหมู่บ้านทั้งสองจึงได้พาลูกบ้านตัดไม้ถางป่าเพื่อทำเป็นทางเดิน และขณะกำลังถางป่ากันอยู่นั้น  ด้ามมีดของตากะจะก็ได้หลุดกระเด็นหลุดออกจากตัวมีด และหายไปในป่าบริเวณนั้น ตะกะจะได้สั่งให้ลูกบ้านช่วยกันค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ จึงขนานนามบ้านแถบนั้นในภายหลังว่า "บ้านดองกำเม็ด" ตั้งแต่นั้นมา  
            
               เมื่อคณะติดตามช้างจากกรุงศรีอยุธยา พร้อมด้วยหัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง ๔ ท่านได้พบกับตากะจะ และเชียงขันธ์ แล้วจึงได้ทราบว่ามีพญาช้างเผือกหนีผ่านเข้ามาในอาณาเขตพื้นที่ปกครองของหมู่บ้านปราสาทสี่เหลียมโคกลำดวน(ชื่อเรียกพื้นที่เมืองขุขันธ์ในอดีตก่อนปี พ.ศ. ๒๓๐๖)จริง 

               ตากะจะ  และเชียงขันธ์ ร่วมกับหัวหน้ากลุ่มชนเขมรป่าดงทั้ง ๕ กลุ่มชน จำนวน ๖ ท่าน  โดยมีตากะจะผู้มีอายุอาวุโสที่สุดเป็นหัวหน้าคณะผู้ประชุมวางแผนติดตามช้างเผือก ได้เตรียมเชือกปะกำคล้องช้าง หรือภาษาถิ่นเขมร เรียกว่า "เปรื๊อดปะกำจับตำเร็ย" และพากันทำพิธีเซ่นไหว้ศาลปะกำ และเป่าเสนงเกลเอาฤกษ์เอาชัย แล้วคณะหัวหน้าชาวเขมรป่าดงทั้ง 6 ท่านก็ขี่ช้างนำหน้าพาลูกบ้านเร่งรีบออกเดินทางค้นหาทันทีตามรอยโขลงช้างป่าไปเรื่อยๆ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 วัน ก็พบพญาช้างเผือกอยู่รวมกับโขลงช้างป่า ณ ป่าทึบบริเวณเชิงเขาพนมดงรัก จึงพร้อมใจกันทำพิธีเพิกช้างป่า และสะกดพญาช้างเผือก โดยเสกก้อนหินขว้างไป ๘ ทิศ กระทืบเท้า ๓ ครั้ง ช้างป่าก็แตกตื่นหนีเข้าป่าไป  ส่วนพญาช้างเผือกถูกมนต์สะกดยืนส่ายงวงหมุนวนอยู่กับที่ จึงช่วยกันขี่ช้างล้อม และใช้เชือกปะกำคล้องจับพญาช้างเผือกได้ แล้วนำมามอบให้คณะผู้ติดตามนำพญาช้างเผือกกลับกรุงศรีอยุธยา  โดยหัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง  ๖ ท่าน ได้ร่วมเดินทางกับคณะนำพญาช้างเผือกส่งถึงกรุงศรีอยุธยาด้วย  

               การที่หัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง ๖ ท่าน ได้ช่วยเหลือคณะผู้ติดตามจนสามารถจับพญาช้างเผือกกลับกรุงศรีอยุธยาได้ในครั้งนี้  สองพี่น้องหัวหน้าคณะผู้ติดตามได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ฯ ให้ทรงทราบถึงการติดตามจับพญาช้างเผือกกลับกรุงศรีอยุธยาได้ในครั้งนี้  ได้รับการช่วยเหลือจากหัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง ๖ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ  จึงชื่นชมในคุณงามความดีที่หัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง  ๖  ได้มีต่อกรุงสยาม  จึงโปรดเกล้า ฯพระราชทานบรรดาศักดิ์แก่หัวหน้าเขมรป่าดงทั้ง  ๖  ท่าน ตามลำดับ  ดังนี้ 

               ๑. โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้  ตากะจะ   เป็น "หลวงแก้วสุวรรณ "
               ๒. โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้  เชียงขันธ์  เป็น  "หลวงปราบ "
               ๓. โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้  เชียงปุม  เป็น  "หลวงสุรินทร์ภักดี "
               ๔. โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้  เชียงฆะหรือ เชียงเกา เป็น "หลวงเพชร "
               ๕. โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้  เชียงสี    เป็น  "หลวงศรีนครเตา "
               ๖. โปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้  เชียงไชย เป็น  "ขุนไชยสุริยงค์"

        โดยให้ทั้ง  ๖  เป็นนายกองฐานะรับราชการขึ้นกับเมืองพิมาย  โดยอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา   เป็นการมอบอำนาจแก่หัวหน้าหมู่บ้าน "เขมรป่าดง"  ควบคุมปกครองดูแลสมัครพรรคพวกและลูกบ้านตนเองเพื่อเตรียมการยกฐานะชุมชนหมู่บ้านขึ้นเป็นเมืองต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจากภูมิปัญญาท้องถิ่น​ : นายไพศาล  นนทะสรณ์  อายุ ๗๒ ปี(ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗) ราษฎรอาวุโสบ้านพะเยียว  ตำบลใจดี  อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย