ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ท้าวบุญจันทร์ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ

ในปี พ.ศ. 2443 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการปกครองในรูปแบบเทศาภิบาล  กล่าวคือในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น คือ สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ได้ตรากฎกระทรวง ชื่อ  ข้อบังคับเรื่องเปลี่ยนชื่อ  มณฑลทั้ง 4 มณฑล  และมีผลให้ยุบเมืองบางเมืองเป็นอำเภอ  ยุบรวมเมืองเล็ก ๆ  หลายเมืองเป็นเมืองเดียวกัน
  
ผลการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จึงทำให้ผู้เคยมีอำนาจและตำแหน่งต้องเสียตำแหน่งและเสียอำนาจ ส่วนบางคนผู้เคยมีตำแหน่งอยู่แล้วก็ยังได้ตำแหน่งและอำนาจที่สูงขึ้น จึงมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ดังนั้นผู้เสียประโยชน์จึงไม่พอใจและก่อความไม่สงบขึ้นทั่วไป  ในภาคพื้นแถบมณฑลอิสาน ที่เรียกว่า “กบฎผีบุญ” ท้าวบุญจันทร์ ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้บันทึกไว้ว่า  เป็นผู้ก่อกบฎ  (ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ)

ท้าวบุญจันทร์เป็นบุตร พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าววัง) เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 8 และท้าวบุญจันทร์ยังเป็นน้องชายของ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  (ท้าวปัญญา ขุขันธิน )   เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 9 มีตำแหน่งราชการเป็นกรมการเมือง  ปฏิบัติหน้าที่ราชการช่วยเจ้าเมืองขุขันธ์ ผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอด  

ท้าวบุญจันทร์ สมรสกับภรรยาคนที่ 1 มีธิดา 2 คน ชื่อ นางญาณ และนางสุข ส่วนภรรยา  คนที่ 2 เป็นหญิงชาวบ้านสิ  ขุนหาญ (ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบุตรธิดา)  ท้าวบุญจันทร์เป็นบุคคลที่มีอัธยาศัยไมตรี ใจกว้าง ใจบุญ โอบอ้อมอารี ฉลาด  กล้าหาญ  มีน้ำใจ คราใดที่ทางราชการบริหารราชการส่อไปในทางเอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายส่วนมากดูจะเห็นใจราษฎร  ทำให้ทางราชการมองว่า  ปลุกปั่น  สนับสนุนราษฎร  ให้เรียกร้องอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับพระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี)  ที่มีตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองบริเวณ ซึ่งสูงกว่าเจ้าเมืองขุขันธ์  (ท้าวปัญญา)  ผู้เป็นบุตรเขย  และเป็นพี่ชายของท้าวบุญจันทร์  จึงทำให้ท้าวบุญจันทร์และกรมการเมืองหลายคนไม่พอใจข้าหลวง คือ พระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี ) บ่อยครั้งจึงเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง  โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่จะมีการแต่งตั้งนายอำเภอกันทรลักษ์คนใหม่ เจ้าเมืองขุขันธ์ (ท้าวปัญญา) ซึ่งเป็นพี่ชายท้าวบุญจันทร์  โดยความเห็นชอบและได้รับการสนับสนุนจากกรมการเมืองหลายคน เจ้าเมืองขุขันธ์ (ท้าวปัญญา) จึงได้เสนอต่อข้าหลวงกำกับบริเวณ คือพระยาบำรุงบุระประจันต์  เพื่อเสนอเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้ง      ท้าวบุญจันทร์เป็นนายอำเภอกันทรลักษ์ แต่พระยาบำรุงบุระประจันต์  (จันดี ) ข้าหลวง ไม่เห็นด้วย  และได้เสนอบุคคลอื่นซึ่งเป็นของฝ่าย พระยาบำรุงบุระประจันต์  สนับสนุนให้ทรงโปรดเกล้าฯ เป็นนายอำเภอกันทรลักษ์แทน กลายเป็นเรื่องขัดแย้งอย่างรุนแรง  ความจริงนายอำเภอกันทรลักษ์คนเดิมที่ถึงแก่อนิจกรรมก็คือ พี่ชายของ  ท้าวบุญจันทร์  และเจ้าเมืองขุขันธ์ก็เป็นพี่ชาย ท้าวบุญจันทร์ก็น่าจะมีความชอบธรรมในการเสนอให้ทรงโปรดเกล้าฯ  ในตำแหน่งนายอำเภอกันทรลักษ์   แต่กลับมิได้รับการเสนอ และกลับถูกกล่าวหาและถูกใส่ร้ายว่าจะก่อการไม่สงบขึ้น  เพราะความมักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้ท้าวบุญจันทร์  ไม่พอใจอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม  จากน้ำผึ้งหยดเดียวกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต อำนาจในการปกครองเมืองขุขันธ์  แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย  ฝ่ายที่เห็นด้วย และสนับสนุนข้าหลวงกำกับเมืองบริเวณ  กับอีกฝ่ายคือ ฝ่ายเจ้าเมืองขุขันธ์ คือ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา  ขุขันธิน)  แต่ความขัดแย้งจะไม่แสดงออกถึงขั้นแตกหักเพราะทั้ง 2 ท่านมีศักดิ์เป็นพ่อตาและบุตรเขยจึงต่างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

ส่วนท้าวบุญจันทร์  และกรมการเมืองอีกกลุ่มไม่เห็นด้วยกับพระยำบำรุงฯ จึงรับไม่ได้  อีกทั้งเพื่อความปลอดภัยในชีวิต จึงได้พาผู้ที่ศรัทธาและสนับสนุนตนเองหนีออกจากเมืองขุขันธ์  ไปอยู่อาศัยที่เขาภูฝ้าย (บริเวณตำบลพราน  อำเภอขุนหาญ  จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน )  

ต่อมาอีกไม่นานพอชาวขุขันธ์ทราบข่าวว่าท้าวบุญจันทร์ได้หนีออกจากเมืองขุขันธ์   ไปพำนักอยู่ที่เขาภูฝ้าย  ด้วยความรักและศรัทธาในตัวท้าวบุญจันทร์  จึงทยอยหลั่งไหลกันไปที่เขาภูฝ้าย ซึ่งต่างก็อ้างว่าไปทำบุญประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อไม่ให้ทางการเกิดความสงสัย    บางคนเมื่อไปร่วมทำบุญบนภูฝ้ายแล้วไม่ยอมกลับตัดสินใจสมทบอาศัยอยู่กับท้าวบุญจันทร์   ทำให้มีผู้คนอยู่ร่วมกับท้าวบุญจันทร์มากขึ้น ๆ ทำให้พื้นที่พักอาศัยบนเขาภูฝ้ายคับแคบลงและขาดความอุดมสมบูรณ์ ท้าวบุญจันทร์จึงตัดสินใจเคลื่อนย้ายสมัครพรรคพวกไปพำนักอยู่ ณ    เขาซำปีกา  ฝ่ายเจ้าเมืองขุขันธ์  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  (ปัญญา ขุขันธิน) เป็นผู้ที่อยู่ ในฐานะที่ลำบากใจยิ่ง ไหนจะห่วงเรื่องปกครองบ้านเมือง ไหนจะห่วงท้าวบุญจันทร์ผู้น้องต้องการให้เลิกความคิดยอมเข้ามาช่วยราชการบ้านเมืองอย่างเดิม แต่ก็ไม่ได้ผลจนในที่สุด     พระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี) ข้าหลวงประจำเมืองขุขันธ์ได้มีบัญชาให้ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน(ท้าวปัญญา)  ส่งกองกำลังจากเมืองขุขันธ์ออกปราบ  แต่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวนไม่เห็นด้วย  แต่ก็มิได้ทัดทานหรือคัดค้านประการใด  เนื่องจาก  พระยาบำรุงบุระประจันต์ ( จันดี) มีตำแหน่งเป็นข้าหลวงที่ส่วนกลางแต่งตั้งให้กำกับดูแลเมืองบริเวณขุขันธ์ ย่อมมีอำนาจที่สูงกว่าเจ้าเมืองขุขันธ์อยู่แล้ว (ฐานะพ่อตาด้วย)  ในที่สุดพระยาบำรุงฯ  ข้าหลวงกำกับเมืองขุขันธ์ขอเป็นผู้สั่งการเอง โดยจะหลีกเลี่ยงการกระทำการใด ๆ ที่รุนแรงและขอจับตัวมาลงโทษให้ได้ โดยจะไม่พยายามให้มีการตายเกิดขึ้น 

แต่เป็นที่น่าสังเกต การวางแผนออกปราบปรามกลุ่มท้าวบุญจันทร์ในครั้งนี้ พระยาบำรุงฯ จะปิดเป็นความลับ โดยมิให้พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ได้ล่วงรู้แผนใด ๆ เลย แต่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน  ก็พอจะล่วงรู้ได้ว่า จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
  
ในปี พ.ศ. 2443 พระยาบำรุงฯ ได้สั่งให้ทหารเมืองขุขันธ์ออกไปปราบกลุ่มท้าวบุญจันทร์ บนเขาซำปีกา อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ  เนื่องจากทหารยังเกรงใจท้าวบุญจันทร์  เป็นเจ้านายเก่าและเป็นน้องพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวนด้วย  อีกทั้งทหารเกรงกลัวและขยาดต่อคำล่ำลือ  ในความเก่งกล้าด้านคาถาอาคมทางไสยศาสตร์ของท้าวบุญจันทร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเดินทางไปถึงที่มั่นของท้าวบุญจันทร์  ต่างก็หวาดกลัวไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าเกิดขวัญเสียต่างก็วิ่งหนี  เอาตัวรอดไปทุกครั้งทำให้ไม่สามารถทำอะไร ท้าวบุญจันทร์ได้ ก็ยิ่งทำให้สมัครพรรคพวก  ของท้าวบุญจันทร์เกิดความมั่นใจและศรัทธาในตัวท้าวบุญจันทร์มากขึ้น  

ในที่สุดพระยาบำรุงฯ ข้าหลวงจึงตัดสินใจออกไปปราบด้วยตนเอง เมื่อกองกำลังของพระยาบำรุงฯ  เดินทางถึงที่มั่นบนเขาซำปีกา ก็ได้เผชิญหน้ากับท้าวบุญจันทร์ ร้องขอให้  ท้าวบุญจันทร์ได้มอบตัวเพราะการกระทำของท้าวบุญจันทร์เข้าข่ายก่อการกบฎต่อบ้านเมืองที่ทางการมิอาจยอมให้กระทำต่อไปได้   ฝ่ายของท้าวบุญจันทร์เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ไม่ยอม  ต่างฝ่ายต่างกรูชักดาบเข้าต่อสู้กัน  ส่วนท้าวบุญจันทร์มิได้ชักดาบซึ่งเป็นอาวุธประจำตัว  แต่กลับพนมมือสวดมนต์  ร่ายคาถาเดินเข้าหาฝ่ายทหารจากเมืองขุขันธ์  แม้จะถูกฝ่ายทหารจากเมืองขุขันธ์ใช้ดาบฟันถูกร่างกายหลายครั้ง  แต่ดูไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย  พอปะทะกันได้ไม่นานนัก   ฝ่ายทหารจากเมืองขุขันธ์  ที่มีความเกรงกลัวต่อท้าวบุญจันทร์อยู่ก่อนแล้ว ยิ่งตกใจและพากันถอยร่นหนีเอาตัวรอด ฝ่ายพระยาบำรุงฯ เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้จะดีนักจึงสั่งให้กองกำลังล่าถอยกลับไปก่อน
  
จากเหตุการณ์ดังกล่าว  พระยาบำรุงฯ  จึงครุ่นคิดได้ว่า  จากการที่กองกำลังจากเมืองขุขันธ์เข้าปราบกองกำลังกลุ่มท้าวบุญจันทร์หลายครั้งแล้วไม่สำเร็จ  ก็โดยเหตุที่ว่าทหารจากเมืองขุขันธ์ เกรงบารมีท้าวบุญจันทร์  ทั้งด้านฝีมือการรบและเป็นน้องชายเจ้าเมืองขุขันธ์  หากเป็นเช่นนี้    คงยากที่จะใช้กำลังจากเมืองขุขันธ์เข้าปราบปรามและจับตัวท้าวบุญจันทร์ได้ จึงได้ทำรายงานไปยังพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ได้ทราบว่า  ที่เมืองขุขันธ์มีกบฎผีบุญขึ้น มีผู้คนเข้าร่วมเป็นสมัครพรรคพวกพร้อมอาวุธเป็นจำนวนมาก ยากต่อการปราบปรามได้ จำเป็นต้องขอกำลังทหารจากหน่วยเหนือมาช่วยปราบ ดังนั้นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้สำเร็จราชการมณฑลอิสาน ได้ทูลขอสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ให้ทรงทราบ ได้มีการประชุมเสนาบดีที่กรุงเทพฯ มีมติส่งกองทหารจากเมืองนครราชสีมาอีกจำนวน 200 คน โดยมีร้อยโทหวั่น ร้อยตรีเจริญ และร้อยตรีอิน คุมกองกำลังทหารหนึ่งกองร้อย  พร้อมอาวุธเดินทางเข้าสู่เมืองขุขันธ์โดยหยุดรวมพลวางแผน โดยใช้บริเวณวัดไทยเทพนิมิตร เป็นฐานที่มั่นรวมกองกำลังทั้งทหารพลเรือนที่ยกไปปราบครั้งนี้จำนวน 800 คน ในขณะที่ทหารจากส่วนกลางและจากเมืองนครราชสีมาไม่เคยชินต่อภูมิประเทศของภูเขาซำปีกา ซึ่งเป็นที่มั่นของกลุ่ม ท้าวบุญจันทร์  ดังนั้นการปราบปรามเพื่อจับกุมท้าวบุญจันทร์จึงทำได้ไม่สำเร็จ กองทหารต้องล่าถอยกลับ  เพื่อวางแผนในการเข้าปราบปรามต่อไป

ครั้งที่สองที่กองทหารจากส่วนกลางและจากนครราชสีมา ซึ่งพระยาบำรุง ฯ  เป็นผู้คุมกองกำลังด้วยตนเอง โดยหวังจะให้กองทหารเข้าจับกุมท้าวบุญจันทร์ให้ได้   แต่ไพร่พลที่เป็นกองกำลังของฝ่ายท้าวบุญจันทร์ไม่ยอมเกิดการต่อสู้กันอย่างหนัก ทหารฝ่ายพระยาบำรุงฯ ได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่กองกำลังของท้าวบุญจันทร์  แต่ก็ไม่สามารถทำให้กองกำลังของท้าวบุญจันทร์ได้รับบาดเจ็บจากอาวุธปืนแต่อย่างใด ทำให้ฝ่ายทหารของพระยาบำรุงฯ เกิดเสียขวัญต้องล่าถอยไปอีกครั้ง  

ในที่สุดฝ่ายท้าวบุญจันทร์แม้จะพยายามต่อสู้ด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม เนื่องจากอาวุธ   ในการต่อสู้ที่เสียเปรียบฝ่ายทหารอยู่แล้ว  ดังนั้น  พระยาบำรุงฯจึงได้วางแผนร่วมกับแม่ทัพ  จากส่วนกลางเป็นอย่างดี โดยตัดสินใจใช้อาวุธหนักเบาที่มีอยู่อย่างเต็มที่ แม้จะต้องมีการบาดเจ็บ   ล้มตาย  ก็ต้องยอมเพื่อจับตัวท้าวบุญจันทร์ให้ได้ ในคราวนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดการเผชิญหน้ากัน  พระยาบำรุงฯ ก็คาดคิดมาก่อนแล้วว่า  ท้าวบุญจันทร์และกองกำลังฝ่ายท้าวบุญจันทร์คงไม่ยอมมอบตัวและยอมแพ้อย่างง่าย ๆ  แน่นอนเมื่อเผชิญหน้ากัน  จึงสั่งให้ทหารเข้าโจมตีด้วยอาวุธทุกชนิดที่เตรียมมา   ทำให้ไพร่พลฝ่ายท้าวบุญจันทร์ที่มีน้อยกว่าอยู่แล้วต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากที่เหลือเกิดขวัญเสียยอมแพ้ต้องหนีเอาตัวรอด  ส่วนท้าวบุญจันทร์ได้ถูกกระสุนที่แขนอาการสาหัสไม่ยอมหลบหนี   จึงถูกทหารจับตัวไว้ได้ พระยาบำรุงฯ จึงสั่งให้ทหารตัดเอาศรีษะ ท้าวบุญจันทร์นำกลับไปที่เมืองขุขันธ์  แล้วทำการแห่ไปรอบเมืองแล้วจึงได้เสียบประจานไว้ที่ทางสี่แพร่ง หน้าสถานีตำรวจในขณะนั้น  (ทิศตะวันตกโรงเรียนขุขันธ์ ในปัจจุบัน) 

ผลพวงจากการปราบปรามกบฎท้าวบุญจันทร์ในครั้งนี้ แม้ท้าวบุญจันทร์จะต้องสิ้นชีวิตไปแล้วก็ตาม แต่ประชาชนชาวขุขันธ์ส่วนหนึ่งไม่พอใจในการกระทำการอย่างรุนแรงของทางการ  โดยการนำของพระยาบำรุงฯ  ข้าหลวงประจำเมืองขุขันธ์ในครั้งนี้ทำให้ ในเวลาต่อมาเหตุการณ์ในเมืองขุขันธ์วุ่นวายเกิดขึ้น  มีการก่อความไม่สงบ  มีการทำลายและเผาสถานที่ราชการ มีการลอบฆ่าฝ่ายปกครองเป็นเนือง ๆ จนต้องใช้กองกำลังทหารจากส่วนกลางช่วยรักษาความสงบภายในเมืองขุขันธ์อยู่อีกเป็นเวลาแรมปี
  
ฝ่ายพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา ขุขันธิน) เจ้าเมืองขุขันธ์ เมื่อทราบข่าวการตายของท้าวบุญจันทร์ผู้น้องก็ตกใจและรู้สึกเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เพราะได้ขอร้อง พระยาบำรุงฯ แล้วว่าอย่าใช้ความรุนแรงโดยขอให้จับเป็นไม่ให้จับตาย  แต่เมื่อเหตุการณ์  ได้เป็นไปถึงขนาดนี้แล้วก็ได้แต่นึกสงสารท้าวบุญจันทร์ ผู้เป็นน้องและนึกตำหนิตัวเอง  ที่แม้จะเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ก็ไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตท้าวบุญจันทร์  ผู้เป็นน้องไว้ได้  จึงได้แต่รับหลานซึ่งเป็นบุตรสาว 2 คน ของท้าวบุญจันทร์ชื่อ  นางญาณ และนางสุข ไปเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ซึ่งต่อมาได้ใช้นามสกุล “ขุขันธิน” ซึ่งเป็นนามสกุลของพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา ขุขันธิน)  ผู้เป็นลุง
  
จากการที่ได้ปราบปรามกบฎท้าวบุญจันทร์นี้เอง  ทำให้ พระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี)  ข้าหลวงกำกับราชการเมืองบริเวณขุขันธ์ เกิดความไม่มั่นใจในความมั่นคงในการบริหารราชการปกครองเมืองขุขันธ์ อยู่ ณ ที่เมืองขุขันธ์เดิม ในราวปลายปี พ.ศ. 2449  จึงได้ตัดสินใจที่จะย้ายเฉพาะศาลาว่าราชการเมืองขุขันธ์ จากตำบลห้วยเหนือ ไปตั้ง  ณ ตำบลเมืองเหนือ  และทำการย้ายได้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2450 โดยพระเจ้าอยู่หัว ร.5 โปรดเกล้าฯให้ยุบเมืองศรีสะเกษ  เมืองเดชอุดม รวมเข้ากับเมืองขุขันธ์ รวมเรียกว่า  “เมืองขุขันธ์”  ส่วนที่เมืองขุขันธ์เดิม  คงไว้ให้มีฐานะเป็นอำเภอเมือง เท่านั้น

ข้อสังเกต  มิใช่ยุบเมืองขุขันธ์  หรือลดฐานะเมืองขุขันธ์เป็นอำเภอ  เพราะขณะที่ศาลากลางเมืองขุขันธ์ตั้งอยู่  ณ  เมืองขุขันธ์  ก็มีศาลาว่าการอำเภอห้วยเหนือ ยังคงอยู่  เมื่อย้ายเฉพาะศาลาว่าการเมืองขุขันธ์มาตั้งที่ ศีร์ษะเกษ ที่ตัวเมืองขุขันธ์แห่งเดิมก็ยังคงมีมีสถานะเป็นอำเภอเมืองอยู่เช่นเดิม  มิใช่ยุบหรือลดฐานะ เมืองขุขันธ์ดังที่เข้าใจ  เพราะเมื่อย้ายมาตั้งที่ศรีสะเกษ   ก็ยังใช้ชื่อ ศาลาว่าราชการเมืองขุขันธ์ อยู่เช่นเดิม ตำแหน่ง ผู้ว่าก็ยังเป็นผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์  โดยทรงได้โปรดเกล้าฯ  ให้พระบำรุงบุระประจันต์  ซึ่งเป็นข้าหลวงกำกับเมืองบริเวณขุขันธ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์  แทนผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ท่านเดิมคือ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา  ขุขันธิน) ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนตำแหน่งไปเป็นกรมการพิเศษเมืองขุขันธ์  และกรมการพิเศษจังหวัดขุขันธ์  ในเวลาต่อมา  จากปี  พ.ศ. 2450  ถึงปี พ.ศ. 2460  จึงได้สิ้นสุดในตำแหน่งหน้าที่ราชการแล้วท่านได้กลับไปใช้ชีวิตที่อำเภอห้วยเหนือ จนมาถึงแก่อนิจกรรมในปี  พ.ศ. 2470  รวมสิริอายุได้  70  ปี  นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ยืนยันว่า จากที่ท้าวบุญจันทร์ผู้น้องถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎก็มิได้ทำให้ผู้พี่คือ  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา ) มิได้รับตำแหน่งใด ๆ อย่างที่บางท่านกล่าว  เป็นการกล่าวที่ขาดเหตุผลและขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง 

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย