การเล่นมะมวด มีลักษณะเป็นความเชื่อ คือเป็นการรำแก้บน และมีความสำคัญที่แสดงถึงประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามอีกแบบหนึ่ง ซึ่งได้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และถือเป็นการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมที่ดีงามของท้องถิ่น
ประวัติความเป็นมา
การเล่นมะมวด เป็นการละเล่นเพื่อแก้บนที่เจ้าภาพได้บนบานเอาไว้ เมื่อผู้ป่วยได้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน มีการละเล่นประเพณีนี้เกือบทุกหมู่บ้านในถิ่นชนบท การละเล่นอาจจะแตกต่างกันบ้างตามภาษาพูดของแต่ละท้องถิ่น แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะภาษาพูดในท้องถิ่นนี้มีหลายภาษาด้วยกัน เช่น บางหมู่บ้านพูดภาษาเขมร ลาว ส่วย การใช้ภาษาร้องภาษารำก็เป็นไปตามภาษาของท้องถิ่นนั้น
เมื่อครอบครัวมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่เฝ้าดูแลรักษาทั้งแพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบัน อาการคนป่วยก็ไม่ดีขึ้น ชาวบ้านก็จะหันมาพึ่งทางไสยศาสตร์ ซึ่งชาวบ้านยังเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่มาก เมื่อเห็นว่าแพทย์แผนปัจจุบันช่วยไม่ได้แล้ว ก็เตรียมอุปกรณ์ที่จะนำไปเข้าทรงเจ้ากับคนทรงว่าคนป่วยป่วยเป็นอะไร โดยให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งนำถ้วยที่ใส่ข้าวสารและเงินเหรียญ ๕ บาท หรือ ๑๐ บาท ใส่บนข้าวสารเดินถือไปบ้านคนทรงประจำหมู่บ้าน ซึ่งคนทรงอาจจะมี ๑ คน หรือมากกว่านั้นก็แล้วแต่ คนที่จะไปให้คนทรงจะเลือกเองว่าจะไปทรงเจ้ากับใครในขณะที่คนที่จะไปหาหอทรงเจ้าเดินถือถ้วยข่าวสารไปนั้น ห้ามพูดจากับใครโดยเด็ดขาด ในระหว่างทางใครจะถามอย่างไรก็ห้ามตอบ แต่ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านที่รู้ประเพณีนี้เขาก็จะถามแต่อย่างใด นอกเสียจากเป็นบุคคลอื่นที่มาจากท้องที่อื่น บางคนก็จะถามเซ้าซี้จนทำให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน
สาเหตุที่ไม่ให้คนที่จะไปหาคนทรงเจ้าพูดจากับใคร ก็เพราะเชื่อกันว่า ถ้าหากพูดจาทักทายกับใครต่อใครก่อนที่จะไปทรงเจ้าจะทำให้คำทำนายที่หมอคนทรงพูดออกมาจะไม่ตรงตามความเป็นจริงนั่นเอง แต่หลังจากกลับจากทรงเจ้าแล้ว ก็สามารถตอบคำถามของผู้ที่อยากทราบข้อเท็จจริงจากคำทำนายได้ คำทำนายที่หมอคนทรงพูดออกมาจะมีอยู่หลายลักษณะแล้วแต่อาการป่วยของผู้ป่วยคนนั้น อย่างเช่น บางคนหมอทรงก็บอกว่าผีปู่ย่าตายายโกรธที่พ่อด่าลูกชายคนนั้นคนนี้ต้องเซ่นเป็ดไก่ หรือบางทีก็บอกว่าผีบรรพบุรุษโกรธที่ยกที่นาแปลงนั้นแปลงนี้ให้กับคนที่เขาไม่ต้องการให้แต่แรก ให้กลับไปแบ่งใหม่ และอีกกรณีหนึ่งก็คือมะมวดเขาอยากร้องรำทำเพลง ถ้าในกรณีหลัง ญาติของผู้ป่วยก็จะต้องนำสิ่งของที่จะใช้เข้าทรงที่จัดขึ้นมาใหม่ไปหาแม่ครูมะมวด โดยเฉพาะเพื่อที่จะทำการบนบานต่อไปว่า หากคนป่วยหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยจะเล่นร้องรำทำเพลงแม่มดให้เป็นที่สนุกสนานต่อไป
ระยะแรกที่จะแก้บนก็ขึ้นอยู่กับญาติของผู้ป่วยที่จะให้คำสัญญากับมะมวดที่มาเข้าทรงกับแม่ครู ว่าจะแก้บนทันทีหลังจากที่คนป่วยหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือจะแก้บนในปีหน้าเพื่อขอเวลาหางบประมาณในการจัดพิธีการการรำมะมวด ซึ่งปัจจุบันต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นบาท คนป่วยบางรายหลังจากที่ญาติได้บนบานกับมะมวดแล้วอาการไข้ก็หายเป็นปกติ แต่บางรายพอหายแล้วแกล้งทำเป็นลืม มะมวดก็จะบันดาลให้อาการคนป่วยกลับมาเป็นอีก อาจจะทรุดกว่าเดิมถ้าญาติรีบบนบานว่าหากอาการป่วยคราวนี้หายขาดเหมือนคราวแรกจะรีบเล่นมะมวดทันที ถ้าคนป่วยหายป่วยก็จะต้องรีบเล่นมะมวดให้จงได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพิธีการเล่นมะมวดจะรักษาคนเจ็บคนป่วยได้เสมอไป บางรายหลังจากได้บนบานไว้แล้วเป็นเดือนเป็นปีคนป่วยอาการไม่ดีขึ้นเลยก็มี ญาติเกรงว่าคนป่วยจะเสียชีวิตเสียก่อน ก็รีบชิงเล่นมะมวดทั้งที่คนป่วยยังนอนป่วยหนักอยู่ในบ้าน บางรายคนป่วยได้เสียชีวิตลงทั้ง ๆ ที่ยังเล่นมะมวดอยู่ก็มี ชาวบ้านก็จะลงความเห็นว่าไม่ได้ทำผิดกับมะมวดแต่อาจทำผิดกับภูตผีปีศาจหรือเทพาอารักษ์จากที่อื่นก็เป็นได้ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่มีมาช้านาน ยากที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเหล่านี้ให้ออกไปจากใจของพวกเขาได้ เพราะประเพณีนี้มีมาแต่โบราณ ไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้ว่าเริ่มาแต่เมื่อไร เพราะทุกคนเกิดมาก็พบกับประเพณีนี้เลย ก็คงจะพูดได้ว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เพราะคนป่วยที่หายเป็นปกติก็มากมายหลายรายหลังจากที่หาแพทย์ปัจจุบันแล้วอาการไม่ดีขึ้นเลย บางรายแพทย์บอกว่าให้ญาติทำใจนำคนป่วยมานอนรอวันตายที่บ้านได้เลย ญาติเมื่อหมดหนทางก็บนบานมะมวดทำพิธีเล่นมะมวด คนป่วยกลับหายป่วยราวปาฏิหาริย์ก็มีหลายราย
การแต่งกาย มีเครื่องแต่งกาย ได้แก่
เสื้อ ส่วนมากจะนิยมเสื้อแขนสั้น หรือเสื้อแขนกระบอก อาจจะเป็นลายดอกไม้เล็ก ๆ ลายตาราง หรือลายฉลุลูกไม้ โดยไม่นิยมสีฉูดฉาด แต่ก็จะมีแม่มดบางคนที่เมื่อผีเข้าแล้วจะร่ำร้องหาเสื้อสีที่ตนชอบ เช่น แดงสด หรือชมพูสด หรือสีอื่น ๆ ที่ตนเองชอบ
ผ้าโพกหัว ผ้าสไบ ผ้าคาดเอว ผ้ามัดแขน มักจะเป็นผ้าผืนเล็กขนาดความกว้างประมาณ ๑๐ – ๑๕ เซนติเมตร และมีสีสันที่สดใส ส่วนมากจะเน้นสีแดงและสีชมพูสด สำหรับผ้าสไบและผ้าโพกหัว บางคนจะมีระบายห้อยบาง ๆ เพื่อความสวยงาม
ผ้านุ่ง จะเป็นการบอกเพศของผีตนนั้น ๆ ที่เข้ามาอยู่กับคนรำแม่มด โดยถ้าผู้ชายเข้าจะใส่โสร่ง ถ้าผีผู้หญิงเข้าจะใส่ผ้าถุง โดยส่วนมาจะนิยมผ้าที่เป็นผ้าไหม หรือผ้าฝ้ายลวดลายแบบพื้นบ้านเรียบ ๆ โดย โสร่งจะเป็นลายตารางใหญ่ ๆ และผ้าถุงจะเป็นลายยาวหรือลายตารางเล็ก ๆ
เครื่องประดับ ส่วนมากจะเป็นเครื่องประดับที่ทำจากเงิน เช่น ต่างหู กำไลแขน กำไลขา ถ้าผีตนไหนมาจากคนที่มีอันจะกินหรือฐานะดี ก็จะใส่เครื่องประดับต่าง ๆ เหล่านั้น
เครื่องประกอบดนตรี
ดนตรีที่ใช้ประกอบจะเป็นวงปี่พาทย์ ของงานแม่มดโดยเฉพาะ เพราะดนตรีเหล่านี้จะนำไปบรรเลงและเล่นในงานอื่น ๆ ไม่ได้ ซึ่งวงหนึ่งจะประกอบด้วย ฆ้อง ๑ วง กลอง ๓ ตัว แคน ๑ ลำ ขลุ่ย ๑ เลา ซอด้วง ๑ เลา
นักดนตรี มีประมาณ ๕-๘ คน เพราะมีไว้เพื่อสลับและหมุนเวียนกันเล่น เพราะการเล่นดนตรีจะเล่นตลอดตั้งแต่เริ่มงานจนจบงาน จะหยุดเฉพาะการต่อเพลงเท่านั้น
การสืบทอดการเล่นดนตรี มาจากบรรพบุรุษและไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นใคร อายุ เพศ แต่ส่วนมากผู้ชายจะนิยมมาเล่น และเล่นด้วยใจรักจริง ๆ ถึงจะเล่นได้ดี ในการเชิญนักเพลงมาเล่น แม่มดเจ้าภาพจะไปบอกกับหัวหน้าวงเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ และเมื่อถึงวันงานก่อนที่นักดนตรีจะทำการบรรเลง จะต้องมีการเซ่นไหว้ครูนักดนตรี โดยเจ้าภาพจะเตรียมเทียน ๒ คู่ เหล้า ๒ ขวด เงิน ๑๒ บาท เพื่อเป็นการเชิญให้นักเพลงเล่นเพลงหน้ากลองและหน้าซอด้วงจะทำจากหนังงูและหนังตะกวด มีความเชื่อว่า สัตว์เหล่านี้ชอบอาศัยอยู่ในป่าช้าจึงเป็นเสียงเรียกภูตผีวิญญาณเข้ามาได้ง่าย
การตั้งปรำพิธี
ใช้เสา ๙ ต้น ไม้ที่ใช้ต้องเป็นไม่สด ๆ ที่ตัดมาใหม่ ๆ เช่น ต้นไม้ ต้นหมาก ต้นยูคาลิปตัส และอื่น ๆ เพราะมีความเชื่อว่า ถ้านำต้นไม้ที่ตายหรือล้มมาทำเป็นเสา แม่มดหรือเจ้าที่ต่าง ๆ จะไม่เข้า และหลังคาปรำพิธีจะใช้ก้านมะพร้าวผ่าซีกครึ่งวางมุมไปในทิศทางเดียวกัน ความเชื่อที่วางก้านมะพร้าวคือ เพื่อที่จะเป็นทางให้แม่มดลงมาสิงสถิตในร่างทรง เมื่อแม่มดเข้ามา ญาติพี่น้องที่อยู่ข้าง ๆ หรือญาติ ๆ จะถามว่าร่างที่เข้ามาทรงนั้นเป็นใคร หรือมาจากไหน เพราะเหตุใดและถามว่าคนที่ป่วยนั้นป่วยด้วยสาเหตุใด ผ้าขาวม้า1 ผืน ผูกตรึงบนปรำพิธีทางทิศใต้
มีความเชื่อว่าผ้าขาวม้าเป็นผ้าที่เป็นสิริมงคล นำโชคลาภมาให้บ้านที่ทำการบวงสรวงรำแม่มด ส่วนสิ่งของที่ใช้ประดับหรือห้อยในปรำพิธี ได้แก่ นก ปลาตะเพียนที่สานจากใบตาล กล้วย ข้าวต้มที่ห่อเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ และดอกคูณ โดยสิ่งเหล่านี้มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป
- ดอกไม้หรือดอกคูณ หมายถึง ความสูงส่ง เชิดชู ยกย่อง สรรเสริญ
- ปลาและนก หมายถึง ความอ่อนโยน อ่อนไหว
- กล้วย, ข้าวต้ม หมายถึง เครื่องรองรับเซ่นไหว้ครูในปรำพิธี
ตรงเสากลางจะมีต้นกล้วยและล้อมรอบด้วย กรวยปากชาม มีตะเกียงติดไฟผูกติดกับเสา และในถาดที่วางของเซ่นไหว้ตรงเสาก็จะประกอบด้วย (เจิงจวม) คือ จะเป็นครูประจำตัวของบุคคลในครอบครัวนั้น ๆ ถ้าครอบครัวที่เล่นแม่มดมี ๕ คน เจิงจวมก็จะมี ๕ อัน และของเซ่นไหว้อื่น ๆ จะประกอบไปด้วย โตก ที่เตรียมไหว้ให้แม่มด ใช้ในการเข้าสมาธิเรียกวิญญาณ เหล้า ๑ ขวด อาหารคาวหวาน ๑ ถาด กระเฌอใส่ข้าวเปลือก โดยมีหินลับหัวขวานและข้าวเหนียวอุดหัวขวาน เสื้อผ้าเซ่นถวายผี
เมื่อเวลาที่แม่มดเข้าและรำ ก็จะรำเวียนซ้ายอ้อมเสาเอก ลักษณะของการรำจะรำตามจังหวะกลองและเพลง การรำจะรำตลอดทั้งคืนและตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้น ก็จะทำการจุดเทียนเพื่อบอกพระอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง โดยช่วงวันที่ ๒ นี้จะเป็นพิธีสำคัญของการรำแม่มด เพราะเป็นการรับแม่มดใหม่เข้าบ้าน คนที่เป็นแม่มดใหม่ ครูแม่มดจะนำด้ายฝ้ายขาว 1 ใจ มาผูกคอไว้ โดยมีระเบียบดังนี้ คือ
- เงิน ๓๒ บาท แทนอวัยวะทั้ง ๓๒ ประการของมนุษย์
- ไม้ลำปอ ตัดยาวประมาณ ๑๕–๒๐ เซนติเมตร ๑๐–๑๕ ชิ้น นำมามัดรวมกันด้วยด้ายขาวแล้วให้แม่มดยกขึ้นทูนเหนือหัว พิธีการรับแม่มดใหม่ก็จะทำการข้ามทาง (ฉลอง – เพลา) โดยมีความเชื่อว่า เป็นการบอกทางผี ถ้ามีการรำในงานต่อไปจะเชิญได้ง่าย เมื่อแม่มดรำจนอิ่มและสมควรแก่เวลาแล้วมะม๊วดจะทำการลาผู้เฒ่าผู้แก่ และจะมาจับขันโตกที่มีข้าวสารเทียนปักอยู่ตรงกลาง นั่งประมาณ 35 นาที แม่มดก็จะออกไป
ขั้นตอนสุดท้ายของพิธี จะเป็นการไถ่นักดนตรี หรือแลกนักดนตรี เพื่อหยุดการบรรเลง คือการได้สิ้นสุดพิธีแล้ว โดยผู้เฒ่าผู้แก่ หรือเจ้าภาพจะนำพานเงินที่ใส่เพื่อให้นักดนตรี ได้แก่ จีบพลู ๖ จีบ (๓ คู่) บุหรี่ ๖ มวน (๓ คู่) หมากจีบ ๕–๑๐ อัน กาลพฤกษ์ เงิน ๑๒ บาท เหล้า ๑ ขวด