-->
ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

โรงฝิ่นเมืองขุขันธ์

         การเล่าเรื่องเมืองขุขันธ์ในอดีต  ถ้าหากขาดการเล่าถึงโรงฝิ่นของเมืองขุขันธ์แล้วก็คงจะไม่สมบูรณ์  เท่าใดนัก  สมัยก่อนโรงฝิ่นใช่จะมีแต่ในกรุงเทพมหานคร  หรือเมืองหลวงเท่านั้น  แม้ตามหัวเมืองต่าง ๆ ก็มีโรงฝิ่นหรือสถานที่สูบฝิ่นเช่นเดียวกัน ฝิ่นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด



        ก่อนที่จะเขียนถึงโรงฝิ่นเมืองขุขันธ์  จะขอนำพระประวัติพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  ที่เกี่ยวข้องกับโรงฝิ่นมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน  ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับฝิ่นควบคู่กันด้วย   พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  หรือพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์  พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  รัชกาลที่ 5  พระองค์เคยเสด็จสืบราชการลับในโรงฝิ่น  พระองค์ทรงปลอมเป็นราษฎรสามัญเสด็จไปตามโรงยาฝิ่น  โรงขายสุรา  โรงบ่อนต่าง ๆ แถวย่านนางเลิ้ง  ในเวลากลางคืน  โดยมีมหาดเล็กติดตามไปด้วย  บางครั้งก็เสด็จเพียงลำพังพระองค์เดียว  บางคืนก็เสด็จไปบรรทมคุยกันกับพวกสูบฝิ่นในโรงฝิ่น

          ต่อมามีเจ้าพี่เจ้าน้องในราชวงศ์จักรีไปฟ้องเสด็จพ่อว่า พระองค์ประพฤติตนเป็นคนเลว  นอนโรงยาฝิ่นกินตามถนน  ทำให้เสื่อมเสียตระกูลราชวงศ์จักรี  เมื่อในหลวงทรงทราบก็ฟังหูไว้หู  ต่อมาในหลวงทรงปลอมพระองค์เป็นราษฎร  เสด็จไปรถม้าพระที่นั่งเล็ก ๆ ไปจอดอยู่แถวบ่อนต้นมะขามย่านนางเลิ้ง  แล้วเสด็จไปตรวจตามโรงยาฝิ่นพระโรงสุรา  พอถึงหน้าโรงยาฝิ่น  เจ้าพ่อก็เสด็จออกมาพบพอดีพร้อมกับนายเล่ผู้ติดตาม  ในหลวงรับสั่งให้เจ้าพ่อตามไปที่รถม้า  พอไปถึงในหลวงขึ้นไปประทับแล้ว  เจ้าพ่อก็กราบลงที่ฝ่าบาท  ในหลวงก็เทศนาว่าต่าง ๆ ให้เจ้าพ่อฟัง  เมื่อจบแล้วเจ้าพ่อกราบทูลว่าในการที่ลูกปลอมแปลงตัวไปนอนตามโรงยาฝิ่นและเที่ยวไปตามตรอกถนนต่าง ๆ ในเวลากลางคืนนั้น  ก็เพื่อจะสืบความลับของราษฎรว่า  ใครคิดร้ายต่อพ่อและคิดขบถต่อบ้านเมือง  กับลักขโมยปล้นกันที่ไหน  เมื่อทราบก็จัดการปราบปรามขึ้นทันที  ราษฎรและบ้านเมืองจะได้อยู่เย็นเป็นสุข  ที่ต้องทนลำบากตรากตรำก็ด้วยเหตุนี้  เมื่อในหลวงทรงทราบความจริงต่าง ๆ ก็เสด็จกลับ   รุ่งขึ้นทรงรับสั่งให้เจ้าพ่อเข้าเฝ้าได้พระราชทานสร้างสังวาลย์ฝังเพชร 1 สาย  แล้วเจ้าพ่อก็เอานายเล่(นายเรือตรีเล่)ไปประเทศจีนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฝิ่น  และฝิ่นก็มีอิทธิพลต่อประเทศจีนมิใช่น้อย  เรื่องของฝิ่นทำให้จีนต้องทำสงคราบกับต่างประเทศจนเกือบจะสิ้นชาติแล้ว

          สงครามฝิ่น  ( OPIUM WAR )  สงครามระหว่างประเทศอังกฤษกับจีนเกิดขึ้นก่อนปี ค.ศ. 1842 (พ.ศ. 2385) สาเหตุเพราะข้าหลวงศุลกากรคนใหม่ของจีนประจำเมืองกวางตุ้ง  ได้สั่งเผาโรงเก็บสินค้าฝิ่นของพ่อค้าชาวอังกฤษ  เมื่อพ่อค้าชาวอังกฤษจะเข้าไปปฏิบัติงานในโรงค้าตามเดิมก็ถูกทหารชาวจีนยิงเสียชีวิต  ทหารจีนได้ใช้เรือสำเภารบกับกองทหารเรืออังกฤษ  ซึ่งจอดอยู่ที่น่านน้ำท่าเรือกวางตุ้ง  ทหารเรืออังกฤษและรัฐบาลอังกฤษได้รบกับทหารจีนจนถึงปี ค.ศ. 1842 (พ.ศ. 2385) โดยจีนเป็นผู้แพ้สงคราม  และในสงครามครั้งนี้จีนต้องยอมยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษ  ยอมให้อังกฤษตั้งศาลกงศุลในประเทศจีน  ค.ศ.1483 (พ.ศ. 2386)  และยอมเปิดเมืองท่าทางจีนใต้  เพื่อให้ชาวยุโรปเข้ามาทำการค้าขายได้อีก 5 แห่ง  คือ  กวางตุ้ง  เอมอย  ฟูเจา  มิงโป  และเซียงไฮ้ 


          สำหรับฝิ่นเข้ามีบทบาทในเมืองขุขันธ์เมื่อใดนั้นไม่อาจทราบได้  ฝิ่นเกิดขึ้นที่เมืองขุขันธ์พร้อมกับชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ที่เมืองขุขันธ์ ประมาณปี พ.ศ. 2410 (ยุคที่ชาวจีน โดยเฉพาะจีนแต้จิ๋วอพยพเข้ามาเมืองไทยมากที่สุด คือหลังปี พ.ศ.2310  ในยุคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงครองราชย์ ทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว มีพระราชบิดาเป็นชาวแต้จิ๋วชื่อ แต้ย้ง หรือต๋า ส่วนพระราชมารดาเป็นคนไทยชื่อนกเอี้ยง ทำให้คนทั้ง 2 ชาติไปมาหาสู่กันมากเป็นพิเศษ  จนมีเรื่องบอกเล่ากันว่าเมื่อคราวที่พระเจ้าตากสิน ออกสู้รบเพื่อกอบกู้เอกราชให้กับชาติไทย ชาวเมืองแต้จิ๋วได้เรี่ยไรเงินนำมาใช้ต่อเรือ เพื่อเป็นพาหนะในการกอบกู้เอกราชให้กับชาติไทยในสมัยนั้นด้วย)

         โรงสูบฝิ่นเมืองขุขันธ์ในอดีต ตั้งอยู่มุมสี่แยกทางทิศตะวันออกตรงข้ามด่านตรวจสัตว์เก่า(ปัจจุบันคือสำนักงานปศุสัตว์อำเภอขุขันธ์)  ซึ่งมีต้นยางใหญ่เป็นสัญลักษณ์  หรืออยู่ฝั่งทางทิศใต้ตรงข้ามร้านเจริญชัยในปัจจุบันนี้  สี่แยกทางจะไปวัดไทยเทพนิมิตร  เป็นบ้านไม้สองชั้นทุก  วันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว เนื่องจากถูกเอกชนรื้อถอนซากอาคารออกไปหมดสิ้นแล้ว เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2558  คงเหลือไว้แต่ภาพถ่ายร่องรอยแห่งอดีตที่เคยมีให้ได้ทรงจำจำนวน 2 ภาพในหน้าเวปไซต์นี้เท่านั้น  สมัยก่อนรัฐบาลเปิดให้สูบฝิ่นได้  ยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบ  จึงมีโรงฝิ่นเกิดขึ้นทุก ๆ หัวเมืองที่มีคนจีนอาศัย  ไม่เฉพาะคนจีนเท่านั้นที่นิยมสูบฝิ่น  แม้แต่คนไทยเจ้าของประเทศก็นิยมสูบเช่นเดียวกัน

พิกัด GPSบน Google Map​ ของโรงฝิ่นเมืองขุขันธ์ในอดีต คือ 14.714381, 104.194057 
หรือ 14°42'51.8"N 104°11'38.6"E

         เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กพอจำความได้  ในตอนกลางคืนเคยติดตามปู่ผู้เขียนเข้าไปโรงฝิ่นด้วย  พอขึ้นไปชั้นบนของอาคารก็เห็นคนนอนสูบฝิ่นอยู่โดยใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าซจุดให้ความสว่าง  และกลิ่นควันของฝิ่นก็คละคลุ้งไปหมดในอาคารชั้นบน  คนที่ไปไม่ได้สูบฝิ่นกันหมดทุกคน  บางคนก็ไปเล่นไพ่  บางคนก็จับกลุ่มนั่งคุยกัน  คงเป็นสถานที่พบปะพูดคุยของชาวจีนมากกว่า  เพราะหัวเมืองเล็ก ๆ ไม่มีซ่องโสเภณี หรือสถานบันเทิงต่าง ๆ เหมือนในเมืองใหญ่  และคงเป็นสถานที่พูดคุยตกลงธุรกิจการค้าของพวกพ่อค้าอีกด้วย

          สำหรับอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นนั้น  เท่าที่ผู้เขียนได้รับฟังมา  ถ้าเป็นราชสำนักจีน  กระบอกสูบจะทำและตกแต่งด้วยวัสดุที่มีค่า  เช่น  ทองคำ  หรือประดับด้วยอัญมณีต่าง ๆ ตามฐานะ  สำหรับกระบอกสูบฝิ่นโดยทั่วไปเท่าที่ผู้เขียนเคยพบเห็น  ทำด้วยกระปุกสังคโลกต่อด้ามด้วยไม้ไผ่  คล้าย ๆ กระบอกสูบกัญชา  เมื่อสูบแล้วก็จะทำให้เกิดความเคลิบเคลิ้ม  ใฝ่ฝัน  และจินตนาการในเรื่องต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาไม่ได้สูบก็จะทำให้หงุดหงิด  คลุ้มคลั่ง  อารมณ์ไม่ดี  ชาวเขานิยมสูบกันมาก่อนออกไปทำงาน  ด้วยเชื่อว่าสามารถป้องกันไข้และอาการเจ็บป่วยทั้งปวง  ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นยาเสพติดนั่นเอง

         เมื่อ 7 – 8 ปีที่ผ่านมา  ผู้เขียนเคยไปเที่ยวช่องจอม  ด่านชายแดนไทย – กัมพูชา  ได้พบกระบอกสูบฝิ่นที่ร้านขายของเก่า  แขวนขายมากมาย  ทำลวดลายวิจิตรพิสดารสวยงามมาก  สอบถามคนขายได้รับคำตอบว่านำมาจากประเทศเวียดนาม  ราคาตกอันละ 1,500 – 3,500 บาท  แล้วแต่      ฝีมือและวัสดุที่นำมาตกแต่ง  ถ้ามีไว้ในครอบครองเข้าใจว่าคงผิดกฎหมายเพราะเป็นอุปกรณ์ในการเสพ

          ต่อมาในสมัยจอมพลสฤษ  ธนรัตน์  เป็นนายกรัฐมนตรี  ได้สั่งให้เลิกสูบฝิ่น  แต่ก็ยังมีผู้ลักลอบสูบอยู่ตลอดมา   หลังจากนั้นรัฐบาลประกาศให้ฝิ่นเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายแล้วโรงฝิ่นก็ถูกปิด  ชาวจีนที่เคยใช้โรงฝิ่นเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์  พูดคุยก็เงียบเหงาเบาบางลง  ญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียน (ยังมีชีวิตอยู่)  ได้เล่าให้ฟังว่าเวลาสูบฝิ่นควันของฝิ่นจะลอยไปติดเพดานด้านบน  ซึ่งมีจิ้งจกเกาะอยู่ตามเพดานและได้กลิ่นของฝิ่นอยู่เป็นประจำ  หลังจากไม่มีคนสูบ  และไม่มีควันฝิ่นให้จิ้งจกดมแล้วสัตว์เหล่านั้นก็จะตกลงมาตายหมด  จะเท็จจริงอย่างไรผู้เรียนได้รับฟังมาเท่านั้น
ปัจจุบันโรงฝิ่นยังตั้งเด่นให้เห็นอยู่  คนที่รู้เรื่องราวของโรงฝิ่นคงมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป  ฝิ่นได้หมดสิ้นไปจากสังคมคนสูบแล้ว  มีแต่ยาบ้า  ยาอี  ยาเสพติดชนิดเม็ดสีต่าง ๆ เข้ามาแทนที่

          ขณะที่เขียนเรื่องราวในอดีตนี้  พ.ต.ท.  ดร.ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  ได้ประกาศทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทย  ผู้เขียนเองขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจ  ให้ท่านมีชัยชนะในการทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดครั้งนี้  เพื่อที่อนาคตของเยาวชนบางคน  บางกลุ่มของชาติจะได้ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติดอีกต่อไป

ขอบพระคุณผู้เขียน :

นายนพคุณ  ภักดีทวนทอง(เถลิง ศรีสุภาพ),2547.

ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย