ขุขันธ์ เมืองเก่า ชนทุกเผ่าสามัคคี บารมีพระแก้วเนรมิตวัดลำภูคู่หลวงพ่อโตวัดเขียน กระอูบ เกวียน ครุน้อย เครื่องจักสาน ปราสาทโบราณเป็นศรี ประเพณีแซนโฎนตา...ต้นไม้จะอยู่ได้ก็เพราะราก ชาติจะอยู่ได้ก็เพราะวัฒนธรรม การทำลายต้นไม้ ง่ายที่สุด คือทำลายที่ราก การทำลายชาติไม่ยาก ถ้าทำลายวัฒนธรรม...ไร้รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ไร้เรา...

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

การรุกคืบของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ค.ศ. 1856-1863 (พ.ศ. 2399-2406)

        ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ค.ศ. 1851-1868 / พ.ศ. 2394-2411) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งทวีปเป็นสนามแข่งขันอำนาจระหว่างมหาอำนาจตะวันตกสองชาติหลัก คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งทั้งคู่ต่างแสวงหาอาณานิคมเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและยุทธศาสตร์ ประเทศอังกฤษครอบครองสิงคโปร์ในปี ค.ศ. 1819 (พ.ศ. 2362) และดินแดนพม่าตอนล่างในปี ค.ศ. 1826 (พ.ศ. 2369) รวมถึงพม่าตอนกลางในปี ค.ศ. 1852 (พ.ศ. 2395) เพื่อเป็นฐานสำหรับการขยายเส้นทางการค้าเข้าสู่ยูนนานในจีนตอนใต้

        ในปี ค.ศ. 1855 (พ.ศ. 2398) อังกฤษได้ลงนามในสนธิสัญญาพระราชไมตรีกับสยาม ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสมีความกังวลว่า อังกฤษอาจใช้สยามเป็นฐาน “บันได” สำหรับก้าวไปยังยูนนานโดยตรง ฝรั่งเศสจึงแต่งตั้งชาร์ล เดอ มงตีญี (Charles de Montigny) กงสุลประจำเซี่ยงไฮ้ มาร่วมเจรจากับสยามและได้ลงนามในสนธิสัญญาพระราชไมตรีในปี ค.ศ. 1856 (พ.ศ. 2399) จากนั้นเดอ มงตีญีเดินทางไปยังกำปอด (Kampot) ในกัมพูชาและดานังในเวียดนามเพื่อเจรจาสนธิสัญญากับเขมรและเวียดนาม แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

        เมื่อการทูตล้มเหลว ฝรั่งเศสใช้ข้ออ้างเรื่องการละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนา อาศัยการคุ้มครองมิชชันนารีฝรั่งเศส ใช้กำลังเข้ายึดครองโคชินจีนหรือเวียดนามตอนใต้ตามสนธิสัญญาไซ่ง่อน ค.ศ. 1862 (พ.ศ. 2405) และเดินหน้ารุกคืบเข้าสู่เขมรซึ่งมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ และเป็นแหล่งเสบียงอาหารสำคัญของกองทัพฝรั่งเศส

        วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) พลเรือตรี ปิแอร์ เดอ ลา กรองดิเยร์ (Pierre-Paul de La Grandière) ผู้ว่าการอินโดจีนฝรั่งเศส ส่งรายงานถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือและอาณานิคมว่า ถึงเวลาที่จะสถาปนาเขมรเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส

        วันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) พระนโรดมพรหมบริรักษ์ กษัตริย์เขมรได้ลงนามในสนธิสัญญาให้อยู่ภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศสอย่างจำใจภายใต้แรงกดดันจากจักรวรรดิฝรั่งเศส

        อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) พระนโรดมได้ทำสัญญาลับกับสยาม เพื่อยืนยันว่าเขมรยังเป็นประเทศราชของสยาม แม้ในทางปฏิบัติจะถูกฝรั่งเศสบังคับให้อยู่ใต้อาณัติฝรั่งเศสก็ตาม สัญญาลับนี้ไม่ได้รับการยอมรับโดยฝรั่งเศสและถือเป็นโมฆะ สร้างความตึงเครียดระหว่างสยามและฝรั่งเศส

        วันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) เจ้าพระยาพระคลัง (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์) ตัวแทนสยามส่งหนังสือทักท้วงรัฐบาลฝรั่งเศสที่ปารีส ยืนยันสิทธิของสยามเหนือเขมร พร้อมร้องขอให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ยับยั้งการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับเขมรที่สยามไม่ทราบ แต่ฝรั่งเศสไม่รับข้อเรียกร้อง

        สรุปแล้วในช่วง ค.ศ. 1856-1863/พ.ศ. 2394-2411 ฝรั่งเศสใช้ทั้งการทูตและกำลังเข้ารุกคืบครอบครองเวียดนามตอนใต้และกัมพูชา ฝรั่งเศสบังคับกษัตริย์เขมรให้ทำสัญญาให้อยู่ในอารักขาอย่างจำใจ ขณะที่สยามพยายามรักษาสิทธิ์ผ่านสัญญาลับและการเจรจาแต่ไม่สำเร็จ ฝรั่งเศสจึงสถาปนาเขมรเป็นรัฐในอารักขาของตนอย่างเต็มตัวใน พ.ศ. 2406 ซึ่งเปิดทางสู่การตั้งอาณานิคมอินโดจีนในเวลาต่อมา

โอบาเรต์กับการเจรจาในสยาม ค.ศ. 1864-1867 (พ.ศ. 2407-2410)

        โอบาเรต์เดินทางมารับตำแหน่งกงสุลฝรั่งเศสที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1864 (พ.ศ. 2407) ภารกิจหลักคือเจรจาต่อรองกับสยามในเรื่องสิทธิของสยามเหนือเขมร ซึ่งในขณะนั้นเขมรถูกฝรั่งเศสทำให้อยู่ในสถานะรัฐในอารักขา เขาเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกองค์พระนโรดม กษัตริย์เขมร และเสนอให้ข้าหลวงสยามมีส่วนร่วมในพระราชพิธี แม้จะถูกคัดค้านโดยข้าราชการฝรั่งเศสบางคน

        ความขัดแย้งเริ่มเมื่อหนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทมส์ของสิงคโปร์เผยแพร่สนธิสัญญาลับระหว่างสยามกับเขมรในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1864 (พ.ศ. 2407) ซึ่งโอบาเรต์ไม่เคยได้รับข้อมูลมาก่อน ส่งผลให้เขารู้สึกถูกหักหน้าและประท้วงเจ้าพระยากลาโหมในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1864 (พ.ศ. 2407) ก่อนที่จะรายงานต่อดรูแอง เดอ ลุส รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1864 (พ.ศ. 2407) ว่าสนธิสัญญาดังกล่าวมีมาตราสำคัญที่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศสและกล่าวว่าเป้าหมายของฝรั่งเศสคือยืนยันความเป็นอิสระของเขมรเพื่อความมั่นคงของโคชินจีน

        โอบาเรต์กลับมายังสยามในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408) และเริ่มเจรจากับเจ้าพระยากลาโหมทันที การเจรจาครั้งนี้ไม่ราบรื่น ร่างสัญญาโดยโอบาเรต์ถูกตีกลับ แต่หลังจากแก้ไขข้อความบางส่วน สัญญาถูกลงนามในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408)

        สัญญาฉบับนี้มี 7 มาตรา แต่เกิดปัญหาในมาตรา 4 ที่เกี่ยวกับเขตแดน "เมืองลาวของสยาม" ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสโดยชาสลู โลบากังวลว่าการยอมรับอำนาจสยามเหนือพื้นที่นี้จะเป็นอุปสรรคทางการค้าฝรั่งเศส ส่วนเดอ ลา กรองดิเยร์ เห็นว่าเรื่องเขมรเป็น "fait accompli" หรือสิ่งที่สิ้นสุดแล้ว

        มาตรานี้ก่อให้เกิดการประท้วงและความขัดแย้งยาวนาน จนกระทั่งสัญญาถูกเพิกถอน และโอบาเรต์ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) ทางการสยามจึงส่งราชทูตไปเจรจาใหม่ที่กรุงปารีสจนได้ลงนามในสนธิสัญญาใหม่เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410)

        สรุปแล้ว โอบาเรต์ เป็นตัวละครสำคัญที่ใช้อำนาจก้าวร้าวและเป็นสาเหตุหนึ่งของความตึงเครียดระหว่างสยามและฝรั่งเศสในยุคนั้น โดยทำให้การเจรจามีความซับซ้อนและตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เอกสารอ้างอิง:
   1. พบ “บันทึกลับโอบาเรต์” เผยเบื้องหลังการเจรจาสนธิสัญญาสยามกับฝรั่งเศส | ศิลปวัฒนธรรม | LINE TODAY [Internet]. LINE TODAY. 2022 [cited 2025 Sep 10]. Available from: https://today.line.me/th/v3/article/qPoQ5x

  2. ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช. พบบันทึกลับโอบาเรต์ เผยเบื้องหลังการเจรจาสนธิสัญญาสยามกับฝรั่งเศส [Internet]. ศิลปวัฒนธรรม. 2022 [cited 2025 Sep 10]. Available from: https://www.silpa-mag.com/history/article_36245‌


ดร.วัชรินทร์ สอนพูด ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
นายสุเพียร คำวงศ์ เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์

สนับสนุนโดย