NOTES SUR LE LAOS,1885 บันทึกหมายเหตุเกี่ยวกับลาว
PAR ÉTIENNE AYMONIER โดย...เอเตียน เอมอนิเยร์
SIXIÈME PARTIE (1) ตอนที่ 6 (1)
LES MÆUONGS KOUIS ET KHMÊRS เมืองกูยและเขมร
Sommaire 80. Koukhan.
สรุปย่อเรื่องที่ 80 គោកខណ្ឌ គោកខាន់
โคกขัณฑ์ โคกขัน ขุขันธ์ khukhan
KOU KHAN (เมืองขุขันธ์)
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองขุขันธ์คือ เมืองสังขะ เป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่ง มีระยะห่างจากเมืองขุขันธ์ ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน ทางด้านทิศเหนือมีเมืองศีร์ษะเกษ ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 2 วัน ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมืองอุบล ใช้เวลาเดินทาง 5 วัน ทางทิศตะวันออกมีเมืองเดช ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 4 วัน เมื่อเดินทางไปทางทิศใต้เป็นระยะเวลา 3 วัน ถึงชายแดนเมืองกำปงสวาย โดยมีเมืองมลูไพรย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองขุขันธ์ แต่ตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมาะสม
สำหรับอีก 2 เมืองเล็ก ซึ่งถือได้ว่าเป็นอำเภอที่ขึ้นกับเมืองขุขันธ์ ได้แก่ เมืองอุทุมพร อยู่ทางทิศใต้ และเมืองพระกันทรารักษ์ อยู่ทางทิศตะวันออกเมืองขุขันธ์ ใช้เวลาเดินทาง 1 วัน
หน้า 256
จากการเดินทางเราพบว่า เมืองขุขันธ์ เป็นที่อาศัยของชนพื้นเมืองกูยส่วนใหญ่ ได้แก่ Koui mahai(กูยมะไฮ) , Koui antor(กูยอันเติร) , Koui nhau(กูยเญอ) และ Koui melo(กูยมลอ) , ชาวเขมร และชาวลาว จากข้อมูลที่มีจำนวนผู้มาลงทะเบียน 11,000 คนในเมืองนี้ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเกินความจริง การเก็บภาษี คนโสดจะถูกเก็บส่วยเป็นจำนวน 2 เท่าของคนที่มีครอบครัวแล้ว สิ่งที่จะส่งเป็นบรรณาการให้ทางบางกอก ได้แก่ ของป่า 98 ชนิด มูลค่า 16 ตำลึง 2 บาท มีผู้ถูกเก็บส่วยจากที่ลงทะเบียนได้จำนวน 4,000-5,000 ราย โดยผู้ปกครองผู้มีบรรดาศักดิ์ คือ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครรมดวน เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองขุขันธ์ (Phya koukhan phakedey si nakhon, romduon phou samrach rachkan meuong Koukhan. )
และนอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง (ในที่นี้คือ กูยปรือใหญ่ หรือภาษากูยแถบนี้เรียกว่า កួយកោះពឺត /กูยเกาะฮฺปืด/ )ซึ่งรวมตัวกันอาศัยตั้งบ้านเรือนอาศัยบนบริเวณพื้นที่ลุ่มดอนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ กอไผ่ และต้นรมเจก (ภาษาเขมรว่า រំចេក ฝรั่งเศสเขียนตามเสียงชาวบ้านได้ว่า romchék ภาษาไทยแปลว่า ต้นลำเจียก)อันเป็นเป็นพื้นที่เหมาะแก่การทำนาและ สามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตดีกว่าพื้นที่บริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ระหว่างเมืองขุขันธ์ และพนมเวง(ภูเขายาว) หรือพนมดองเร็ก เมื่อราว 2 - 3 ปีก่อน(ก่อน พ.ศ. 2428 หรือ ค.ศ.1885) มีจำนวน 1,000 คน แต่ทุกวันนี้ลดลง พวกเขาเป็นชาวกูยที่สามารถอ่าน เขียนและพูดภาษาเขมรได้ดี และอีกหลายคนพยายามเรียนรู้ภาษาสยาม
หน้า 257 และนอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง (ในที่นี้คือ กูยปรือใหญ่ หรือภาษากูยแถบนี้เรียกว่า កួយកោះពឺត /กูยเกาะฮฺปืด/ )ซึ่งรวมตัวกันอาศัยตั้งบ้านเรือนอาศัยบนบริเวณพื้นที่ลุ่มดอนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ กอไผ่ และต้นรมเจก (ภาษาเขมรว่า រំចេក ฝรั่งเศสเขียนตามเสียงชาวบ้านได้ว่า romchék ภาษาไทยแปลว่า ต้นลำเจียก)อันเป็นเป็นพื้นที่เหมาะแก่การทำนาและ สามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตดีกว่าพื้นที่บริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ระหว่างเมืองขุขันธ์ และพนมเวง(ภูเขายาว) หรือพนมดองเร็ก เมื่อราว 2 - 3 ปีก่อน(ก่อน พ.ศ. 2428 หรือ ค.ศ.1885) มีจำนวน 1,000 คน แต่ทุกวันนี้ลดลง พวกเขาเป็นชาวกูยที่สามารถอ่าน เขียนและพูดภาษาเขมรได้ดี และอีกหลายคนพยายามเรียนรู้ภาษาสยาม
ภาพแผนที่แบ่งเขตแดนฝรั่งเศส -สยาม พ.ศ. 2424 (ค.ศ.1881) สมัย ร.5ในยุคที่ขุขันธ์ สุรินทร์ สังขะ ขณะที่ยังมีสถานะเป็นเมือง แสดงให้เห็นที่อาศัยดั้งเดิม ของชนชาติพันธุ์ต่างๆได้ละเอียดดีมาก โดยเฉพาะในแผนที่ฝรั่งเศส ในช่วง พ.ศ.2424 นี้ แถบพื้นที่ 3 เมืองนี้ ฝรั่งเศสใช้ข้อความว่า KOUYS de KOUKANE เพื่อบอกว่ายุคที่เดินทางสำรวจทำแผนที่นั้น พบมีชนชาติพันธุ์กูย/กวย อาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมาก
หมู่บ้านบึงมะลู เป็นตำบลเล็กๆตำบลหนึ่งทางทิศใต้ อยู่ค่อนไปทางทิศเหนือของภูเขาพนมดองเร็ก ประชาชนในหมุ่บ้านนี้ ประกอบอาชืพปลูกมะพร้าว และทำนาปลูกข้าวบ้างเล็กน้อย ชาวบ้านมักจะนำลูกมะพร้าวไปแลกเกลือที่บรรจุห่อกับชาวบ้านชำ(ภาษาเขมร ភូមិជាំ ภาษาฝรั่งเศสเขียน Chéam ตรงกับภาษาไทยว่า บ้านชำ ภาษาลาวว่า บ้านซำ ) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก นอกจากนี้ อีกหนึ่งอาชีพของชาวบ้านนี้ ก็คืออาชีพทำใบลานผิวเรียบจำหน่าย สำหรับนำไปจารคัมภีร์ใบลานภาษาพื้นที่อินโด-จีนอีกด้วย ซึ่งทำมาจากต้นไม้ตระกูลปาล์มชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านชาวกูยในท้องถิ่นนั้น เรียกว่า กะเชง (khchêng ) ภาษาเขมรเรียกว่า เตรี็ยง (ภาษาเขมรเขียนว่า ទ្រាំង ภาษาฝรั่งเศสเขียนตามเสียงว่า treang ภาษาไทยเรียกว่า ลาน) พบขึ้นชุกชุมมากบริเวณพนมเสลิก(ภาษาเขมรเขียนว่า ភ្នំស្លឹក ภาษาฝรั่งเศสเขียนตามเสียงภาษาเขมรว่า phnom Slek) ซึ่งอยู่บริเวณแนวเทือกเขาพนมดองเร็กทางทิศตะวันตกของประสาทพระวิหาร นอกจากนี้ชาวบ้าน ยังนำมาทำเป็นตะกร้าเพื่อไว้นำไปแลกข้าวเปลือก โดยตะกร้าลาน 2 ใบ ต่อข้าวเปลือก 6 ถุง ด้วยใบลานขนาดเท่าฝ่ามือนี้ เรายังสามารนำใบอ่อนมาถักทอเป็นเสื่อ และทำเป็นกระเป๋าได้อีกด้วย แต่สำหรับคำภีร์ใบลาน(សាស្ត្រា หรือ satras) ต้นฉบับมีการใช้ใบลานเก่าๆ ซึ่งปัจจุบันต้นไม้เหล่านี้หายากมากขึ้นแล้ว
|
นอกจากนี้ ยังมีพืชที่ภาษาเขมรเรียกว่า รุน (ภาษาเขมรเขียนว่า រុន ภาษาฝรั่งเศสเขียนตามเสียงภาษาเขมรว่า run ตรงกับภาษาไทย คือ ต้นคล้า) พบขึ้นชุกชุมมากแถบเทือกเขาพนมดองเร็ก ชาวบ้านนิยมนำมาสานเป็นแผ่นคล้ายเสื่อขายเป็นคู่(2ชิ้น) สำหรับนำไปกันห้อง ชาวบ้านที่อำเภอชรอง(Srok Chraung) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองขุขันธ์(Koukhan) มีการปลูกพริกจำนวนมาก ขายจำนวน 1 ตันต่อสิบปอนด์
ภูฝ้าย(Phnom Krebas พนมกฺรบาฮฺ) คือภูเขาแห่งฝ้าย(le mont du coton) ใช้ระยะเวลาเดินทางจากตัวเมือง(ขุขันธ์)ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 วัน ภูเขานี้มีขนาดเล็กสูงประมาณ 50 - 60 เมตร เมื่อเปรียบเทียบกับที่ราบโดยรอบ ทอดตัวยาวตามแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ซึ่งสามารถผลิตฝ้าย(de coton)และครั่ง(de laque)ได้เป็นจำนวนมากกว่าบริเวณใกล้เคียง
ภูฝ้าย(Phnom Krebas พนมกฺรบาฮฺ) คือภูเขาแห่งฝ้าย(le mont du coton) ใช้ระยะเวลาเดินทางจากตัวเมือง(ขุขันธ์)ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 วัน ภูเขานี้มีขนาดเล็กสูงประมาณ 50 - 60 เมตร เมื่อเปรียบเทียบกับที่ราบโดยรอบ ทอดตัวยาวตามแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ซึ่งสามารถผลิตฝ้าย(de coton)และครั่ง(de laque)ได้เป็นจำนวนมากกว่าบริเวณใกล้เคียง
เหล็กถูกหลอมที่หมู่บ้านตะเคียน(Phum Koki ភូមិគគីរ) หมู่บ้านนี้ปลูกบ้านเรือนเป็นแบบกระท่อม จำนวน 50 หลังคาเรือน เราพบแร่เหล็กในรูปของกรวดขุดจากใต้ดิน กระบวนการขุดคล้ายกับที่เราเห็นที่ Ketaravisai(ปัจจุบันคือ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดสารคาม) ที่เมืองขุขันธ์นี้ เหล็กที่สร้างขึ้นจากภูมิปัญญาอันชาญฉลาดนี้ ขายชิ้นละ 1 - 4 บาท(ticaux) ขึ้นอยู่กับขนาดแผ่นเหล็กที่ผลิตได้
ระหว่างเมืองศีร์ษะเกษและเมืองขุขันธ์ เราเดินทางตลอดทั้งวันท่ามกลางป่าไม้ที่มีลำต้นสูง เช่น phdiek(ផ្តៀក ต้นกระบาก) téal(ឈើទាល ต้นยางนา),trach(ត្រាច ต้นยางกราด หรือต้นสะแบง), popél(ต้นพยอม), srål ou pins(ต้นสน) ถนนสัญจรไปมาสะดวกดี แต่เป็นถนนดินทราย ยามกลางคืน ตะบองขี้ไต้ เป็นคบเพลิงที่นิยมใช้กันมากสำหรับชาวเมืองขุขันธ์
ในเมืองนี้ น้ำตาลอ้อย ขาย 10 ก้อน ราคาประมาณ 3 ปอนด์ แต่ถ้าบ้านนอกราคาชาวบ้านอยูที่ 2 ปอนด์ ผลผลิตที่สำคัญคือข้าว เมืองขุขันธ์สามารถผลิตข้าวเพื่อการส่งออกได้ นอกจากนี้ก็มีวัวตัวผู้(des beufs) ,ควาย(des buffles) , หมู(des porcs) และม้า(des chevaux) สำหรับม้า 1 ตัว มีราคาเทียบเท่าโลหะเงิน 1 แท่ง
โดยสรุปแล้ว เมืองขุขันธ์ นั้น มีความอุดมสมบูรณ์ เช่นเดียวกันกับเมืองโคราช มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ อยู่ในชัยภูมิที่ดี โอบด้วยเทือกเขายาว(พนมดองเร็ก) สำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญของเมืองขุขันธ์ คือ ครั่ง(la laque) ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เกือบทุกหมู่บ้านที่อยู่ทางด้านทิศใต้และทิศตะวันออกของเมือง โดยเฉพาะที่ภูฝ้าย(Phnom Krebas พนมกฺรบาฮฺ)
ชาวบ้านจะเลี้ยงครั่งที่ต้นพะยุง(krenhung ឈើក្រញូង) ต้นสนวน(snuol ស្នួល) และต้นไม้ที่พบเลี้ยงครั่งกันเป็นจำนวนมากคือ ต้นสังแก(Le sangkê សង្កែ สะแก) ซึ่งสามารถพบต้นไม้เหล้านี้ได้ตามทุ่งนาทั่วไป ถ้าชาวบ้านตัดไม้มีค่าเหล่านี้ จะถูกจับเปรียบเทียบปรับเป็นเงินทันที
หน้า 258
เดือนมกราคม ตัวครั่งจะถูกห่อในหญ้าคาและผูกติดกับกิ่งของต้นสังแก และครั้งก็จะแพร่ขยายตัวเจริญเติบโตไปทั่วทุกกิ่งของต้นไม้ ถึงเดือนมิถุนายน ก็คัดตัดแยกครั่งจากต้นตอที่มีตัวครั่งอยู่ ประมาณ 50 ตัว เพาะขยายสู่ต้นไม้อื่นๆได้แก่ต้นสนวน และต้นพะยูง และเมื่อถึงเดือนตุลาคม ครั่งก็แห้งตามธรรมชาติจากความร้อนของแสงอาทิตย์กลายเป็นครั่งดิบ(ម្រ័ក្សណ៍ខ្មុក) พร้อมเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในที่สุด
ราคาขายครั่งที่แหล่งผลิตตกกิโลกรัมละ 7, 8 -10บาท แต่พอถึงในเมืองราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 10 - 12 บาท ครั่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังเมืองป่าสัก(Bassak) ส่วนหนึ่งส่งไปยังเมืองศีร์ษะเกษ(Sisaket) และเมืองอุบล(Oubon) แต่ส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังเมืองโคราช(Korat)
ที่เมืองขุขันธ์ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1884(พ.ศ. 2427) เราได้พบขบวนรถยนต์รับจ้างของชาวจีนจากเมืองสุรินทร์ จำนวน 51 คันถูกจ้างเหมาโดยคนจีนจากโคราช(Korat)เพื่อขนครั่ง ตามข้อมูลจากหลวงอุดม ผู้นำขบวนรถยนต์รับจ้างชาวจีนจากเมืองสุรินทร์(Souren) ความว่า ค่าจ้างขนส่งจากสุรินทร์-โคราช เพียงคันละ 3 ตำลึง(damling) 2 สลึง(sling) รถยนต์เดินทางขนส่งเป็นระยะเวลา 12 - 14 วัน เส้นทางคมนาคมผ่านด่านตาโป้ย(Dan Ta Pouï) และด่านพระไทร(Prah Chréy ) ได้รับการปรับปรุง ทำให้กำปงธมสตึงแสน มีระยะทางใกล้เมืองขุขันธ์มากกว่าไปเมืองโคราช
ในช่วงนี้ ได้มีผู้กล่าวอ้างว่า อดีตที่ตั้งศูนย์กลางเมืองขุขันธ์ อยู่ที่ บ้านรำดวล ในพื้นที่ของเมืองศีร์ษะเกษ แต่อย่างไรก็ตาม สร้อยต่อท้ายตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ เช่น พระยาขุขันธ์ภักดี ศรีนครลำดวน (ศรีนคร คือ = çri nagara) เชื่อกันว่ามีที่มาจากชื่อของหมู่บ้านรำดวล (ซึ่งในขณะนั้น มีหลายหมู่บ้านที่ชื่อหมู่บ้านขึ้นต้นด้วย รำดวล เช่น บ้านรำดวลตรอเปียงสวาย และบ้านรำดวน เป็นต้น) และในเวลาต่อมาชาวลาวแห่งเมืองศรีสะเกษ ก็ได้เบี่ยงเบนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ออกจากเมืองขุขันธ์ที่เคยอยู่เป็นส่วนหนึ่งภายใต้การปกครองในที่สุด
และมีเหตุการณ์การปล้นสะดมเกิดขึ้นที่ด่านช่องทางผ่านเข้า-ออกเมืองขุขันธ์ทางด้านทิศใต้บริเวณเทือกเขาพนมดองเร็ก ในวันที่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน(ท่านที่ ๘ ท้าววัง หรือ พระวิชัย - พุทธศักราช ๒๓๙๕ - ๒๔๒๖) ได้ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1883 (พ.ศ. 2426) และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1884 (พ.ศ. 2426) โลงศพของท่านก็ยังคงตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่บ้าน ซึ่งถูกกั้นด้วยผ้าม่าน และเฝ้าศพโดยสตรีแม่ม่ายที่ล้วนสวมชุดขาวโกนศรีษะ ในระหว่างรอไฟพระราชทานเพลิงศพจากกรุงบางกอกนั้น และพระสงฆ์ได้ถูกนิมนต์มาสวดอภิธรรมศพทุกวัน...
แปลโดย : นายสุเพียร คำวงศ์
แปลโดย : นายสุเพียร คำวงศ์
เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์
ที่มา : NOTES SUR LE LAOS,1885 PAR ÉTIENNE AYMONIER
SIXIÈME PARTIE (1) LES MÆUONGS KOUIS ET KHMÊRS
Sommaire 80. Koukhan.
SIXIÈME PARTIE (1) LES MÆUONGS KOUIS ET KHMÊRS
Sommaire 80. Koukhan.