ผลคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ ?
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เวลา ๒๑.๐๕ น. นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศบรรยายสรุปแก่สื่อมวลชนเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาล ยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อ่านคำพิพากษาในกรณีประเทศกัมพูชาร้องขอให้ศาลฯ ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ ซึ่งกัมพูชาอ้างว่าไทยและกัมพูชามีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับขอบเขต ของบริเวณใกล้เคียงปราสาท โดยกัมพูชาเห็นว่าควรมีขอบเขตตามเส้นเขตแดนบนแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่กัมพูชาแนบคำฟ้องในคดีเดิม สรุปสาระสำคัญของคำพิพากษาของศาลฯ ได้ ดังนี้
๑. ศาลฯ รับตีความตามคำร้องของฝ่ายกัมพูชาเฉพาะในประเด็นที่ศาลฯ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจแตกต่างกัน แต่ศาลฯ รับตีความเฉพาะภายในขอบเขตของคำพิพากษาปี ๒๕๐๕
๒. ศาลฯ ไม่รับพิจารณาประเด็นเส้นเขตแดน หากแต่พิจารณาเฉพาะประเด็นอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารและขอบเขตของบริเวณ ใกล้เคียงปราสาท ซึ่งคำตัดสินของศาลฯ เป็นไปตามแนวทางการสู้คดีของฝ่ายไทย โดยศาลฯ ไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และศาลฯ ไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ผูกพันไทยภายใต้คดีเดิมในฐานะเส้นเขตแดนไทย – กัมพูชา
๓. ศาลฯ รับพิจารณาเกี่ยวกับบริเวณใกล้เคียงปราสาทซึ่งศาลฯ เห็นว่าเป็นบริเวณพื้นที่ขนาดเล็ก และศาลฯ ได้อธิบายขอบเขตของบริเวณดังกล่าวในทางสภาพภูมิศาสตร์ ซึ่งจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร ไม่รวมถึงภูมะเขือ โดยในขั้นตอนต่อไป ไทยและกัมพูชาจะต้องหารือกันในรายละเอียดของขอบเขตบริเวณใกล้เคียงปราสาทต่อไป
๔. ศาลฯ แนะนำให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก
ต่อมา นายกรัฐมนตรีได้แถลงท่าทีเบื้องต้นของรัฐบาลต่อคำพิพากษาของศาลฯ โดยเห็นว่าความสำคัญของคำตัดสินคือ การให้ทั้งไทยและกัมพูชาใช้แนวทางการหารือเจรจากันในฐานะเพื่อนบ้าน นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะกรรมการวิเคราะห์คำพิพากษาและแนวทางการดำเนินการ ซึ่งมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ศึกษาวิเคราะห์รายละเอียดของคำพิพากษาของศาลฯ จนถ่องแท้ และหารือกับที่ปรึกษากฎหมาย แล้วจึงเสนอแนะความเห็นประกอบการพิจารณาการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า ในการเจรจาหาข้อยุติที่ยอมรับได้ของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชานั้น ทางการไทยจะต้องดำเนินการตามกระบวนการภายใต้รัฐธรรมนูญไทยทุกประการ
ต่อข้อสอบถามเพิ่มเติมของสื่อมวลชนเกี่ยวกับบริเวณใกล้เคียงปราสาทตามคำ พิพากษาของศาลฯ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ศาลฯ ได้ระบุขอบเขตตามสภาพทางภูมิศาสตร์ว่ามีพื้นที่ทางทิศต่าง ๆ อย่างไร และได้ระบุชัดเจนว่าไม่รวมถึงภูมะเขือ ซึ่งศาลฯ ได้ตัดสินให้พื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชานับ แต่ปี ๒๕๐๕ แล้ว ในการตัดสินครั้งนี้ ศาลฯ เพียงแต่ระบุให้ชัดเจนขึ้นว่าขอบเขตของบริเวณใกล้เคียงปราสาทอยู่ตรงไหน ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่สามารถอ้างเรื่องพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรว่าอยู่ในคำตัดสินคดีเดิมได้อีก
ต่อข้อซักถามเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการเจรจาเกี่ยวกับคำพิพากษานั้น ปลัดกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การหารือระหว่างไทยและกัมพูชาจะมีขึ้นภายหลังจากที่ฝ่ายไทยได้ศึกษาราย ละเอียดคำตัดสินเสร็จสมบูรณ์ ประกอบกับเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม โดยจะเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
ขอบคุณที่มา : http://www.phraviharn.org/main